วงการฟันธง LTF มาชัวร์ แถมอาจให้ลุยหุ้นไทย 100% จากเดิม 65% ส่วนเงื่อนไขคาดคล้ายของเก่า เหตุต้องจูงใจลงทุน เชื่อดันวอลุ่มเทรดพุ่ง เหตุจะมีเม็ดเงินเข้ามากกว่าเดิม ช่วงแรกอาจดัน SET Index ทันทีไม่ต่ำกว่า 40 จุด นักลงทุนกำเงินรอซื้อได้เลยรับประโยชน์ระยะยาว 2 เด้ง ทั้งลดหย่อนภาษี - Capital gain หุ้นบิ๊กแคปพื้นฐานแกร่งเตรียมวิ่ง !
*** จับตา ! "LTF" ใหม่จ่อลงทุนหุ้นไทย 100%
ล่าสุด การหารือเพื่อผลักดันกองทุนรวมระยะยาว (LTF) ตามแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกลับมาอีกครั้ง เมื่อ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO), สมาคมบริษัทจัดการการลงทุน (AIMC), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมหาแนวทาง
โดย "ชวินดา หาญรัตนกูล" กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ ทุกฝ่ายมีมติเห็นชอบร่วมกันในแนวทางการนำเสนอกองทุนตามแนวคิดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยได้ส่งหนังสือเพื่อขอหารือและนำเสนอแล้ว ซึ่งยังต้องรอนัดเข้าประชุมกับรมว.คลังต่อไป
"รายละเอียดต่าง ๆ ของกองทุน LTF ที่เห็นชอบร่วมกันทุกฝ่าย ยังไม่สามารถเปิดเผยในขณะนี้ได้ ทั้งวงเงินลดหย่อนภาษี ระยะเวลาการถือครอง รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ แต่ที่แน่นอน คือ กองทุนภาษีที่นำเสนอรอบนี้ จะเน้นลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งเราพร้อมสนับสนุนตามแนวคิดรมว.คลัง ไม่ว่าอย่างไรหากได้รับความเห็นชอบจากภาครัฐ มั่นใจว่า จะตรงใจนักลงทุนและเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยแน่นอน"ชวินดา กล่าว
*** วงการคาดเงื่อนไขส่วนใหญ่คล้ายของเดิม
ขณะที่ แหล่งข่าวระดับสูงในวงการตลาดทุน เปิดเผยกับสำนักข่าว"อีไฟแนนซ์ไทย"ว่า แม้เบื้องต้นจะมีการสรุปนโยบายการลงทุนของกองทุน LTF ใหม่เบื้องต้น เป็นลงทุนในหุ้นไทยสัดส่วน 100% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่ากองทุน LTF เดิม ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นไทยในระดับมากกว่า 65%
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขอื่น ๆ ทั้งระยะเวลาการถือครองที่ต้องไม่ต่ำกว่า 5 ปีปฏิทิน และไม่จำกัดเงินลงทุนขั้นต่ำ เงินลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้และไม่เกิน 500,000 บาท (ไม่นับรวม RMF ประกันบำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายโรงเรียนเอกชน) และใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ต่อปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
มีความเป็นไปได้สูงที่จะยึดหลักข้างต้นเหมือนเดิม เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบดีว่านักลงทุนต้องการอะไร ประกอบกับ สถานการณ์ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยก็ต้องการดึงนักลงทุนกลับเข้ามาซื้อ - ขายให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับในอดีต จึงน่าจะต้องใช้เงื่อนไขที่จูงใจนักลงทุนมากที่สุด
สอดคล้องกับ "ณัฐพล คำถาเครือ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ที่ให้ข้อมูลเสริมว่า กองทุน LTF ที่จะออกมาใหม่ ค่อนข้างมั่นใจว่าจะมีเงื่อนไขระยะเวลาในการถือครองเหมือนกับกองทุน LTF เดิม คือ มีแค่ระยะเวลการถือครอง 5 ปี กับ 7 ปี ให้กระทรวงการคลังพิจารณาว่าจะใช้เงื่อนไขใด
"จากที่พอทราบมา เหมือนว่า FETCO ได้วางเขื่อนไขระยะเวลาในการถือครองไว้ที่ 5 ปี เพราะเล็งเห็นว่าระยะเวลาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนทั้งในแง่การประหยัดภาษี และผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นมากกว่า ซึ่งหากเป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ"ณัฐพล กล่าว
*** ปรับนโยบายลงทุนหุ้นไทย 100% ดันวอลุ่มเทรดเพิ่ม
"รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์" นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย มองว่า หากกองทุน LTF ใหม่ที่กำลังจะออกมา มีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยขึ้นเป็น 100% จริง เทียบกับนโยบายเดิมที่จะลงทุนในหุ้นไทยสัดส่วนมากกว่า 65% ย่อมส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน
เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยหันไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น สะท้อนจากเศรษฐกิจไทยที่เติบโตในระดับต่ำ ส่งผลโดยตรงถึงการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยด้วย ซึ่งการที่กองทุน LTF ใหม่ จะออกนโยบายลงทุนในหุ้นไทย 100% ก็จะช่วยให้ปริมาณการซื้อ - ขาย ในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญได้ด้วย
ส่วน "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวต่อว่า แน่นอนว่าการที่มีกองทุน LTF ออกมาใหม่ ย่อมส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว เพราะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยกำลังต้องการอะไรบางอย่างที่เข้ามาขับเคลื่อน SET Index หลังที่ผ่านมายังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากองทุน LTF จะมีการเปลี่ยนนโยบายเพิ่มลงทุนในหุ้นไทยเป็น 100% แต่ก็มีความคล้ายคลึงกับนโยบายเดิมค่อนข้างมาก เนื่องจากนโยบายเดิมจะลงทุนในหุ้นไทยมากกว่า 65% ส่วนที่เหลือก็จะเป็นเงินสด โดยที่ไม่มีนโยบายการลงทุนต่างประเทศ ทำให้สามารถที่จะสับเปลี่ยนสัดส่วนการถือครองหุ้น กับ เงินสดได้ เท่านั้นเอง
*** มองความเสี่ยงไม่ต่างของเดิม แม้ลงทุนหุ้นไทยเต็มที่
"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" กลับมากล่าวต่อว่า ด้วยความที่นโยบายการลงทุนของกองทุน LTF ใหม่ และเก่าค่อนข้างคล้ายกัน ทำให้มองว่ายังจะไม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากนักสำหรับกองทุน LTF ที่จะเปิดใหม่
ด้าน "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเชีย พลัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจัยหลักที่จะทำให้สามารถบอกได้ว่าความเสี่ยงของกองทุน LTF ใหม่ จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากกองทุน LTF เดิม คือ ต้องติดตามเงื่อนไขระยะเวลาการถือครอง และวงเงินในการซื้อเป็นหลัก เมื่อทราบ 2 ส่วนนี้แล้ว จะได้เห็นว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ?
*** คาดเม็ดเงินเข้าสูงกว่า LTF เดิม ดันดัชนีสูงสุด 40 จุด
"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" กล่าวว่า กองทุน LTF เดิม มักมีเม็ดเงินไหลเข้าเฉลี่ย 5 - 7 หมื่นล้านบาท/ปี แต่ถ้าคิดเป็นการไหลเข้าสุทธิจะอยู่ที่ราว 2 - 3 หมื่นล้านบาท/ปี ทำให้มองว่า การเปิดกองทุน LTF ใหม่ จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามากกว่าอดีตแน่ ๆ เพราะจะไม่มีปัจจัยลบ อาทิ กองทุน LTF เดิมครบกำหนดเหมือนในอดีต ซึ่งจะทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นด้วย แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะปรับตัวขึ้นได้สักกี่จุด
ส่วนอีกปัจจัยหนุน ที่ทำให้เชื่อว่า กองทุน LTF ใหม่ จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามากกว่ากองทุน LTF เดิม เพราะคาดการณ์ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการสรุปเงื่อนไขที่ตรงใจนักลงทุน ทั้งระยะเวลาการถือครองที่สั้นราว 5 ปี และวงเงินการลงทุน 5 แสนบาท เป็นต้น
สอดคล้องกับ "เผดิมภพ สงเคราะห์" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรี ที่ประเมินว่า หากมีการตั้งกองทุน LTF ใหม่ มีแนวโน้มที่จะได้เห็นเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากกว่าในอดีต เพราะเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในช่วงฟื้นตัวขึ้นพอดีกับช่วงที่คาดกันว่ากองทุน LTF จะกลับมา (ไตรมาส 3 - 4/67) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักยิ่งหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้า
เช่นเดียวกับ "ณัฐพล คําถาเครือ" ที่ระบุว่า "มอร์นิ่งสตาร์ฯ"เคยเก็บข้อมูลเม็ดเงินไหลเข้าหุ้นไทยจาก LTF อยู่ที่ราว 5 - 6 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าคิดเป็นเงินไหลเข้าสุทธิจาก LTF จะอยู่ที่ 2 - 3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามหากปีนี้ มีการจัดตั้งกองทุน LTF ขึ้น มั่นใจว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าหุ้นไทยมากกว่ากองทุน SSF และ TESG รวมกัน ซึ่งส่วนตัวมองว่าช่วยได้ค่อนข้างมาก
ด้าน บทวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หากพิจารณาในเชิงปริมาณ อ้างอิงจากสถิติปี 2556 - 2567 พบว่า ค่าสหสัมพันธ์ หรือ Pearsons Correlation ระหว่าง SET Index กับเม็ดเงินของ LTF จะอยู่ที่ 0.79 หรือ 79%
กล่าวคือ SET Index ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น กับเม็ดเงินของ LTF ที่ไหลเข้า สัมพันธ์กันถึง 79% ทุก ๆ การไหลเข้าของเม็ดเงินใหม่ 1 หมื่นล้านบาท จะช่วยสนับสนุน SET Index ได้ราว 18 จุด (คำนวณจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ หรือ AUM)
เมื่อคำนวณจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าเฉลี่ยของ LTF ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท และ Correlation ในอดีตที่ 0.79 SET Index ควรจะปรับตัวขึ้นได้ราว 35 - 40 จุด หากมีการนำ LTF กลับมาอีกครั้ง
*** มั่นใจตั้ง LTF ใหม่ นักลงทุนได้ประโยชน์ 2 เด้ง
"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" กล่าวว่า สมมติถ้าเปิดกองทุน LTF ใหม่ ณ สถานการณ์ปัจจุบัน นั่นเท่ากับว่า P/E ของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ราว 15 เท่า ซึ่งเทียบกับกองทุน LTF เดิม จะซื้อกันที่บริเวณ P/E ระดับ 17 เท่า ทำให้เห็นว่า มีโอกาสที่จะสามารถขับเคลื่อน SET Index ขึ้นไปได้ในระดับหนึ่ง
แต่ผลตอบแทนจะคิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ยังเป็นเรื่องที่ตอบยาก แต่มองว่า การเปิดกองทุน LTF ที่สถานการณ์แบบนี้ ถือเป็นประโยชน์ 2 เด้ง คือ นักลงทุนจะได้ทั้งประหยัดภาษี และได้ผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น (Capital gain)
โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีฐานเงินเดือนสูง ทำให้ฐานภาษีสูงกว่า 25% ขึ้นไป จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ในการประหยัดภาษีสูงสุด ส่วนผลตอบแทน Capital gain ต้องพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของ SET Index เป็นหลัก
*** กูรูผสานเสียงหุ้นบิ๊กแคป - พื้นฐานแกร่งเป้า LTF
"เผดิมภพ สงเคราะห์" กล่าวว่า หุ้นที่จะตกเป็นเป้าหมายของกองทุน LTF คือ หุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) ในดัชนี SET50 หรือ SET100 โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในประเทศเริ่มเห็นการฟื้นตัว สะท้อนจาก GDP ไตรมาส 1/67 ที่ดีกว่าคาด ซึ่งโดยปกติราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มักปรับตัวขึ้นหรือลงตามภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับ หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลายตัว ยังซื้อ - ขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีแทบทั้งนั้น
ส่วนอีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งชอบกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังมากที่สุด เพราะคาดว่าจะได้ประโยชน์จากรายได้เกษตรกรปรับตัวขึ้นมาแล้ว 2 เดือนติดต่อกัน (มี.ค. - เม.ย.67) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนภาคเศรษฐกิจเริ่มกลับมาสูงมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับ "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" ที่มองว่า หุ้นที่จะตกเป็นเป้าหมายในการซื้อของกองทุน LTF แน่นอนว่า จะต้องเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ใน SET500 - SET100 และจะต้องมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 67 ต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังเป็นหุ้นที่มีมูลค่า (Valuation) ที่ยังถูก
ด้าน "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" มองว่า หุ้นที่จะตกเป็นเป้าหมายของกองทุน LTF คือหุ้นบิ๊กแคปในดัชนี SET500 - SET100 ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเป็นหลัก
ส่วน "ณัฐพล คําถาเครือ" กล่าวทิ้งท้ายว่า หุ้นที่จะตกเป็นเป้าหมายในการซื้อของกองทุน LTF ยังคงเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนี SET50 เป็นหลัก