12 พาเหรดซื้อหุ้นรอบปี 65-66 วงเงินรวมกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ให้เหตุผลบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน-เรียกความเชื่อมั่นหลังหุ้นเป็นขาลง แต่สถิติหลังประกาศกลับสวนทาง 6 ใน 12 ราคารูด 4-71% พบ 5 บจ.ครบกำหนดแล้ว มีซื้อครบแค่ 2 ไม่ซื้อเลย 1 

*** พบ 12 บจ.ประกาศซื้อหุ้นคืน บริหารการเงิน หลังหุ้นร่วง
 

"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 65 พบว่ามี 12 บริษัทประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ประกอบด้วย
 

ทั้ง 12 บริษัทให้สาเหตุในการซื้อหุ้นคืนว่า เพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน ขณะเดียวกันเชื่อมั่นในพื้นฐานของบริษัท ประกอบกับราคาหุ้นในช่วงก่อนประกาศปรับตัวลดลง จนอยู่ในระดับที่เหมาะสมในแง่มูลค่า ซึ่งการที่บริษัทเข้าซื้อหุ้นคืนจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนอีกด้วย

โดยเดือนนี้มีประกาศมาพร้อมกันถึง 4 บริษัท ประกอบด้วย บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF), บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป, บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย และ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) หลังราคาหุ้นทั้ง 4 บริษัทตั้งแต่ต้นปีถึง 21 ธ.ค.65 (YTD) ปรับตัวลดลง 5.10%, 14.36%, 44.81% และ 50.63%

อย่างไรก็ตาม บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ยังไม่มีรายละเอียดช่วงเวลาการซื้อหุ้นคืน และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน รวมถึงวงเงินที่จะซื้อหุ้นคืน

*** 5 บจ.ครบกำหนดแล้ว พบซื้อครบแค่ 2 - ไม่ซื้อเลย 1 
 

ทั้งนี้พบว่ามี 5 บริษัทครบกำหนดช่วงเวลาซื้อหุ้นคืนแล้ว โดยมี เพียง 2 บจ.เท่านั้นที่ซื้อหุ้นคืนครบตามจำนวนที่แจ้งไว้ในโครงการ ได้แก่ บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ซื้อหุ้นคืนครบ 191.27 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 365.44 ล้านบาท โดยมีต้นทุนเฉลี่ย 1.91 บาท/หุ้น โดยหุ้นที่ซื้อคืนทั้งหมดบริษัทได้นำไปลดทุนจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว

อีกรายคือ บมจ.อควา คอร์เปอเรชั่น (AQUA) ซื้อหุ้นคืนครบ 200 ล้านหุ้นตามประกาศ มูลค่ารวม 117.17 ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ย 0.59 บาท/หุ้น

ขณะที่ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ซึ่งประกาศซื้อหุ้นคืน 120 ล้านหุ้น วงเงิน 3,600 ล้านบาท ไม่พบข้อมูลรายงานการซื้อหุ้นคืนแต่อย่างใด

ส่วน บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ใช้เงินซื้อหุ้นคืนสูงสุด 484.29 ล้านบาท โดยซื้อไป 15 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 32.29 บาท จากการประกาศโครงการ 30 ล้านหุ้น วงเงิน 1,000 ล้านบาท
 

*** ราคาไม่ฟื้น ส่วนใหญ่ไหลลงต่อ
 

นอกจากนี้เมื่อสำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มนี้ ตั้งแต่วันที่ประกาศ จนถึงวันสิ้นสุดโครงการ หรือถึงวันล่าสุดที่เก็บข้อมูล (20 ธ.ค.65) พบว่า ส่วนใหญ่ราคาปรับตัวลดลง โดยมีถึง 6 บจ.ที่ราคาปรับตัวลดลงตั้งแต่ 4.03 - 70.92%

บมจ.บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ราคาปรับตัวลดลงสูงสุดถึง 70.92% จากราคาปิดวันที่ 17 ก.พ.65 (วันที่มีมติ) อยุ่ที่ 29.75 บาท แต่ล่าสุดอยู่ที่ 8.65 บาท โดย STGT ไม่ได้ซื้อหุ้นคืนเลย

ด้าน บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN) ที่ใช้เงิน 68.77 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนไป 21.28 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 3.23 บาท ราคาหุ้นกับปรับตัวลดลงถึง 21.71% จากราคาปิดวันที่ 17 ม.ค.65 (วันที่มีมติ) อยุ่ที่ 3.5 บาท แต่ล่าสุดอยู่ที่ 2.74 บาท โดยเมื่อราคาเฉลี่ยที่ซื้อคืนเทียบกับล่าสุด มูลค่าก็ลดลงไปถึง 15.17%