หุ้นไทยกลายร่างเป็น "ตลาดหมี" เต็มตัว หลังดัชนีดิ่งเกิน 20% จากจุดสูงสุดร่วม 3 เดือนแล้ว แต่กูรูคาดอยู่อีกไม่นาน เหตุ Valuation ถูกจัด แนะ เลือกหุ้นรายตัวพื้นฐานแกร่ง-ราคาลงมาแรง-แนวโน้มกำไรเติบโต-ปันผลสม่ำเสมอ หรือหากรับความเสี่ยงได้น้อย เปลี่ยนเป็นถือเงินสด รอสัญญาณฟื้นตัวค่อยหาโอกาสเข้าซื้ออีกครั้ง
* รู้จัก "ตลาดหมี"
ภาวะ "ตลาดหมี" (Bear Market) ใช้เรียกบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นที่อยู่ในช่วงขาลงแบบสุด ๆ โดยเกณฑ์หลัก ๆ ที่ใช้ชี้วัดคือ ดัชนีปรับลดลงตั้งแต่ 20% ขึ้นไปวัดจากจุดสูงสุด และระยะเวลาการปรับลดลงอย่างน้อย 2 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะต่างกับภาวะที่เรียกว่า "ตลาดปรับฐาน" (Market Correction) ที่ดัชนีจะปรับลดลงมากกว่า 10% แต่ไม่เกิน 20% และแม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ใช้เวลาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สวนทางกับ "ตลาดหมี" ที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นที แต่ใช้เวลาฟื้นตัวช้าถึงช้ามาก
ข้อมูลจากงานวิจัยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อ้างอิงสถิติดัชนีหุ้น S&P500 ตั้งแต่ปี 2539 ถึงปี 2564 โดยเฉลี่ยแล้วภาวะ "ตลาดหมี" จะอยู่ประมาณ 15 เดือน (446 วัน) และให้ผลตอบแทนติดลบเฉลี่ยราว 38%
* หุ้นไทยเข้า "ตลาดหมี" เต็มตัว
ขณะที่หุ้นไทย ณ 13 ธ.ค.66 ปิดที่ 1,357.97 จุด ลดลง 310.69 จุดจากสิ้นปี 65 หรือ 18.62% และหากเทียบจากจุดสูงสุดที่ 1,852.51 จุด เมื่อ ก.พ.61 เท่ากับดัชนีหุ้นไทยตอนนี้ลดลงถึง 36.42% และถ้าอิงตามหลักการของ "ตลาดหมี" ที่ดัชนีลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุด ดังนั้นหุ้นไทยอยู่ในภาวะหมีมาร่วม 3 เดือนแล้ว
"เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะหมี ทิศทางในระยะสั้นเป็นแนวโน้มที่ฟื้นตัวแรงอย่างต่อเนื่องได้ยาก จาก Turnover ที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก ประเมินจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ปัจจุบัน ซึ่งมูลค่าการซื้อขายควรอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่ช่วง 3 เดือนหลังอยู่ที่เพียง 4 - 4.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ขณะเดียวกันเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติก็มีการขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง ทำให้หุ้นไทยขยับตัวขึ้นได้ค่อนข้างลำบาก
เช่นเดียวกับ "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า หุ้นไทยตอนนี้อยู่ในภาวะ "ตลาดหมี" เต็มตัว เพราะปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดของปีนี้เกิน 20% ตามทฤษฎี
ขณะที่ "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า ซึ่งเห็นด้วยว่าหุ้นไทยตอนนี้จัดเป็น "ตลาดหมี" แถมระยะถัดไปยังมีความผันผวนต่อเนื่อง และอาจจะปรับลดลงได้อีก
* เปิดกลยุทธ์ลงทุนในภาวะ "ตลาดหมี"
ตามทฤษฎีวิธีเอาตัวรอดจาก "ตลาดหมี" มีประมาณ 5 แนวทาง ประกอบด้วย
1.ขายหุ้นออกทั้งหมดแล้วถือเงินสด 100% เพื่อตัดความเสี่ยง รอจังหวะเห็นสัญญาณฟื้นตัวค่อยกลับไปพิจารณาซื้อ
2.ขายหุ้นบางตัวที่ราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Overvalue) เพื่อตุนเงินสดหาโอกาสเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดีราคาถูก
3.ปรับพอร์ตด้วยการป้องกันความเสี่ยง โดยกระจายการลงทุนไปหาสินทรัพย์เช่น ตลาดอนุพันธ์ หรือ ETFs เป็นต้น ซึ่งหากใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงได้ถูกต้อง จะสามารถชดเชยผลตอบแทนที่ติดลบจากหุ้นปกติได้
4.ขายหุ้นที่ขาดทุนทั้งหมด เพื่อเป็นการ Stop Loss และสำรองเงินสด เพื่อหาโอกาสซื้อหุ้นอื่น ๆ ที่แนวโน้มพื้นฐานดี ราคาถูก หรือ รอสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดฯ ค่อยกลับไปซื้อ
5.เดินหน้าช้อปหุ้นสวนกระแส ข้อนี้สำหรับผู้ที่มีเงินสดสูง ซึ่งภาวะ "ตลาดหมี" ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดี เพื่อรอเวลาตลาดฯ ฟื้นตัว
ด้านนักวิเคราะห์ "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" มองว่า แม้หุ้นไทยตอนนี้อยู่ในภาวะ "ตลาดหมี" แต่อาจไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว เพราะถ้าดูปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยปีหน้ายังมีแนวโน้มที่ GDP จะเติบโตได้สูงกว่าราว 3% (ปีนี้ คาดเติบโตราว 2%) ประกอบกับ กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) รวมก็มีแนวโน้มเติบโตประมาณ 12% จึงทำให้โดยรวมดูไม่แย่อย่างที่คิด เพราะ Valuation หุ้นหลาย ๆ บริษัทก็เริ่มถูกแล้ว
ทั้งนี้ แนะนำ มองหาหุ้นปลอดภัย เช่น หุ้นขนาดใหญ่ - กลาง ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาแรง แต่ผลการดำเนินงานปี 67 มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น ซึ่งจะเป็นการลงทุนช่วงนี้ที่ค่อนข้างปลอดภัย
ส่วน "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" คาดว่า ปกติเวลา SET Index ปรับตัวลดลง จะสามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้ในช่วงเวลาที่ไม่นานนัก เพราะ Valuation ของหุ้นหลาย ๆ บริษัทอยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูก เพียงแต่อาจจะไม่ได้เด้งแรงมาก โดยการลงทุนในช่วงนี้ เลือกหุ้นรายตัวที่แนวโน้มพื้นฐานดี โดยเฉพาะกำไรปี 66 และ 67 เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์ลงทุนที่ค่อนข้างปลอดภัย