นักลงทุนรายใหญ่รับหุ้นไทยผันผวนหนัก กดผลตอบแทนพอร์ตปีนี้ติดลบกันเป็นแถว แถมระยะสั้นยังมองไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวที่มีนัยสำคัญ แห่ปรับกลยุทธ์ลดพอร์ต ถือเงินสดเพิ่ม รอช้อปหุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการดีและราคาถูก เพื่อลงทุนระยะยาว
*** "เสี่ยป๋อง" ปรับถือเงินสด 70% หลังพอร์ตติดลบกว่า 10%
"วัชระ แก้วสว่าง" หรือ "เสี่ยป๋อง นักลงทุนสายเทคนิคอลรายใหญ่ ระบุว่า ปัจจุบันปรับสัดส่วนเงินลงทุนเหลือมาณ 30% และถือเงินสดราว 70% หลังตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน ทำให้ผลตอบแทนปีนี้ติดลบกว่า 10% ซึ่งเป็นการแก้ไขกลยุทธ์พื่อประคองภาพรวมของพอร์ตตามสถานการณ์
ส่วนหุ้นในพอร์ตยังมีกำไร ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นรายตัวที่เลือกมาแบบ Selective ผ่านสัญญาณเทคนิคเพื่อทำกำไรระยะสั้น ซึ่งกระจายในหลายอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ยังมองภาพตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไปได้ยาก เพราะยังเห็นความผันผวนค่อนข้างสูง โดยกลยุทธ์ลงทุน สำหรับผู้ที่ยังรับความเสี่ยงได้สูง ก็คงต้องมองหาหุ้นเป็นรายตัวที่มีสัญญาณเทคนิคดีและพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโต
*** "เสี่ยปู่" กำเงินสด 10 - 20% รอจังหวะช้อปของดีราคาถูก
ขณะที่ "เสี่ยปู่" หรือ "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" นักลงทุนรายใหญ่ ยอมรับว่า ผลตอบแทนพอร์ตลงทุนปีนี้ติดลบราว 10% ตามภาวะตลาดที่ลงแรงต่อเนื่อง โดยถือหุ้นไทยสัดส่วนประมาณ 80 - 90% ที่เหลือเป็นเงินสดรอดูจังหวะ
สำหรับกลยุทธ์ช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวน ได้มีการปรับพอร์ตพไปพอสมควร โดยหุ้นที่ผลประกอบการเริ่มไม่ดีเหมือนเดิมจะขายออก เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่มีแนวโน้มดีกว่า
อย่างไรก็ตามมองว่าช่วงที่หุ้นลงแรงก็ถือเป็นโอกาสในการเลือกหุ้นพื้นฐานดี เพราะจะได้ต้นทุนที่ต่ำกว่าตอนภาวะตลาดดี เงินสดที่ดึงออกมาราว 10-20% ก็จะใช้เพื่อหาจังหวะในการสะสมหุ้นรายตัวที่มีศักยภาพการเติบโตโดดนเด่นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกันมองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวกลับมาเป็นขาขึ้นได้เมื่อไหร่ ซึ่งยอมรับว่าประเมินได้ยาก เพราะมีปัจจัยกดดันทั้งภายนอกและภายใน ดังนั้นกลยุทธ์คือต้องมองหาหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มที่ดี เพื่อถือลงทุนระยะยาว เพราะสุดท้ายราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานเสมอ
*** "เสี่ยยักษ์" รับพอร์ตแดง แต่ระยะยาวยังมีหวัง
ด้าน "เสี่ยยักษ์" หรือ "วิชัย วชิรพงศ์" นักลงทุนรายใหญ่ เผยว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้ผันผวนมาก ทำให้ผลตอบแทนในพอร์ตการลงทุนส่วนตัวติดลบ และหากนับเฉพาะปีนี้ถือว่าไม่ดีเลย หุ้นในพอร์ตมีแค่เสมอตัวและขาดทุนเป็นส่วนใหญ่
ปัจจุบันถือเงินสดประมาณ 30% ที่เหลือ 70% ยังลงทุนต่อ โดยระยะสั้นมีการปรับตัวบ้างตามสถานการณ์ แต่ระยะยาวยังเชื่อว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงนี้และระยะถัดไปยังประเมินได้ลำบาก เพราะยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ช่วงที่หุ้นลงมาแรงก็ถือเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีและ Valuation ลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เพื่อถือลงทุนระยะยาว
*** "ดร.นิเวศน์" รับหุ้นไทยปีนี้อาจเลวร้ายสุดรอบ 15 ปี
ส่วน "นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" นักลงทุนรายใหญ่สายหุ้นเน้นคุณค่า (Value Investor) ระบุว่า นับจากต้นปีดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลดลงประมาณ 15% และหากจนถึงสิ้นปียังไม่ดีขึ้น เท่ากับว่าจะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดนับจากปี 2551 หรือในรอบ 15 ปี ซึ่งตอนนั้นหุ้นไทยร่วงหนักถึง 47.% จากวิกฤตซับไพร์ม ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าหุ้นไทยอยู่ในภาวะ "ตลาดหมี"
สิ่งที่ตามมาก็คือ พอร์ตหุ้นโดยรวมตกลงมาจนไม่เหลือกำไรแล้วนับจากต้นปี ซึ่งไม่สามารถประเมินได้ว่าถึงสิ้นปี พอร์ตของตนจะรอดจากการขาดทุนได้หรือไม่
อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนแบบ VI จะต้องเรียนรู้คือในภาวะ "ตลาดหมี" จะต้องเลือกลงทุนอย่างไร ต้องวิเคราะห์หาสาเหตุว่าอะไรทำให้เกิดตลาดหมีและวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นั้นจะดำเนินต่อไปหรือกำลังจะหยุดแล้วและจะดีขึ้นเมื่อไร เพราะจะบอกให้รู้ว่าควรจะทำอย่างไรที่จะลดหรือบรรเทาความเสียหายจากการตกลงมาของหุ้นที่ถืออยู่ อีกด้านหนึ่งก็คือ การฉวยโอกาสทำกำไรโดยการซื้อหุ้นที่ตกลงมามาก ซึ่งก็จะดีขึ้นเมื่อเหตุการณ์ร้ายแรงนั้นกำลังผ่านไปและเหตุการณ์ดีกำลังจะเกิดขึ้น