วิเคราะห์ MAKRO หลังรวมธุรกิจ Lotus's ก้าวสู่ระยะเติบโตของ S-Curve ด้วยการเร่งขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ หวังนำธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งไทย ขึ้นเป็นผู้นำเอเชีย พร้อมขยายอีคอมเมิร์ซ ดันธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด ทุ่มพัฒนาเทคโนโลยี-นวัตกรรม สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มความสะดวกผู้บริโภค อีกทั้งจับมือผู้ผลิต-SME โตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
*** MAKRO รับโอนกิจการ Lotus's ดันมูลค่าเพิ่มเท่าตัว
หลังประสบความสำเร็จในการเข้าลงทุนถือหุ้น 100% ในกลุ่มโลตัสส์ (Lotus's) ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกชั้นนำในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย เมื่อไตรมาส 4/64 ที่ผ่านมา ทำให้ บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) ขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จากบริษัทที่มีรายได้ 218,760 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,563 ล้านบาท ณ สิ้นปี 63 เพิ่มขึ้นเป็นรายได้ 266,435 ล้านบาท กำไรสุทธิ 13,687 ล้านบาท ณ สิ้นปี 64 โดยมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 569,490 ล้านบาท จากสิ้นปี 63 ที่มีสินทรัพย์รวม 74,034 ล้านบาท โดยมูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาด (Market Cap.) ณ วันที่ 10 ส.ค. 65 มีถึง 362,376.08 ล้านบาท จากสิ้นปี 63 ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ 189,600 ล้านบาท
ล่าสุดได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสสอง ปี 2565 พบว่า มีรายได้ 118,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63,507 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 115.6 % เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทำให้ตัวเลขผลประกอบการครึ่งปีแรกมีรายได้รวมทั้งสิ้น 229,680 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9%
*** ผนึกธุรกิจ ค้าปลีก - ค่าส่ง เร่งขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่อง ตั้งเป้าขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจในภูมิภาค
MAKRO เป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งแบบ B2B (Business to Business) ส่วน Lotus's เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกแบบ B2C (Business to Consumer) การควบรวมกันครั้งนี้จะผลักดันการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้อย่างน่าสนใจ เนื่องจากมีการบูรณาการทั้งธุรกิจ B2B และ B2C จะทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย สามารถใช้ศักยภาพจากฐานธุรกิจในประเทศไทย สู่การขยายไปเป็นผู้นำธุรกิจนี้ในอาเซียนตลอดจนภูมิภาคเอเชีย โดยการรวมธุรกิจดังกล่าวเข้าด้วยกันจะเป็นการเพิ่มมูลค่าและเพิ่มศักยภาพให้กับทั้ง 2 ธุรกิจ รวมถึงลดต้นทุนที่มีความทับซ้อน
ทั้งนี้กลุ่มค้าส่งแม็คโคร มุ่งขยายสาขาในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่า ตลาดค้าปลีกในภูมิภาคอาเซียนอยู่ในทิศทางขาขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบรายได้จีดีพีต่อจำนวนประชากรหลายประเทศพบว่ามีโอกาสเติบโตอีกมาก
หากพิจารณาถึงภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เมื่อแม็คโครรุกขยายสาขาในอาเซียน และสร้างการเติบโตอีก 10 ปี 15 ปีข้างหน้า ก็จะมีโอกาสสูงมากที่ธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซของไทยจะเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งในประเทศเหล่านี้ เมื่อเชื่อมโยงไปยังจีน และอินเดีย ซึ่งมีประชากรรวมกันถึงกว่า 2,800 ล้านคน ก็จะเห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่า วันนี้แม็คโครยังมีโอกาสขยายในตลาดนี้อีกมาก และกำลังมุ่งสู่ระยะเติบโตของ S-Curve
*** รุก “อีคอมเมิร์ซ” - “O2O” เดินหน้าสู่ระยะเติบโตของ S-Curve
ขณะที่กลยุทธ์จากนี้จะเดินหน้าด้วยการพัฒนาด้าน “อีคอมเมิร์ซ” และ O2O (Offline to Online) ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในระยะยาว โดยได้ดำเนินงานและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ MAKRO ได้ให้ความสำคัญกับการรุกธุรกิจ O2O ซึ่งผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์มาตั้งแต่ปี 62 ด้วยการเปิดตัว MakroClick ที่เปรียบเสมือนการยกห้างแม็คโครมาไว้บนออนไลน์ทั้ง Website และ Mobile Application จนล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เปิดตัว “maknet” ซึ่งเป็น B2B Marketplace เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการในรูปแบบ End to End Solution โดยใช้ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของแม็คโครกว่า 33 ปี ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทางการค้าและผู้ผลิตรายย่อยหรือเอสเอ็มอี ในการนำเสนอสินค้าและบริการที่ครบวงจรในราคาที่คุ้มค่า โดยตั้งงบลงทุนบริการเหล่านี้ไว้ราว 2 พันล้านบาทในช่วง 4 ปี (2564-2567)
“maknet” ถือเป็น New S-Curve ที่น่าจับตาของกลุ่ม MAKRO โดยคาดว่าโปรเจคนี้จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็น 30% ใน 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่สัดส่วน 12% ขณะที่กลุ่มค้าปลีกโลตัส ได้สร้าง Online Grocery แพลตฟอร์ม หรือบริการสั่งซื้อของสดออนไลน์ ‘โลตัส สมาร์ท แอปพลิเคชั่น’ ดังเห็นได้จากยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของโลตัสประเทศไทย ที่เติบโตในไตรมาสสองเพิ่มขึ้นถึง 141.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
*** แพลตฟอร์มแห่งโอกาส สร้างเครือข่ายพันธมิตร หนุนผู้ผลิต-SME
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าจับตามอง นั่นคือ "แพลตฟอร์มแห่งโอกาส" ที่แม็คโครตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมเอสเอ็มอีและเกษตรกรรายย่อย ในการให้องค์ความรู้และช่องทางการจัดจำหน่ายแก่พันธมิตร
ทำให้แม็คโครสามารถเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้กับลูกค้าได้ โดยมีฐานผู้ผลิต เอสเอ็มอีและเกษตรกรรายย่อยเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืน ในส่วนของผู้ผลิตเองก็ต้องถือว่า นี่เป็นโอกาสสำคัญในการเติบโตไปกับ S-Curve ของแม็คโคร เพราะสามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปสู่สาขาจำนวนมาก ทั้งในและต่างประเทศ