กูรูชี้ SET จ่อดิ่งต่ำสุด 1,540 จุด หลังถูกดอกเบี้ยขาขึ้น - เงินเฟ้อกดดันหนัก ขณะที่ ครึ่งแรกเดือน มิ.ย. Flow พลิกไหลออกครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปีราว 9 พันลบ. ขณะที่โบรกฯ ชี้เป้า 16 หุ้น เสี่ยงถูกต่างชาติขายต่อเนื่อง พบหุ้นพลังงานฯติดโผเพียบ ล็อคเป้า PTTEP จ่อโดนหนักสุด ส่วน AP เข้าข่าย Oversold มากสุด
*** หลายปัจจัยรุมเร้า กูรูชี้หุ้นลงต่ำสุด 1,540 จุด
ล่าสุด ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ยังปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีท่าทีปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราเร่ง และ ภาวะเงินเฟ้อสูง ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ "สำนักข่าวอีพฟแนนซ์ไทย" สำรวจเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย (SET Index) จาก 4 โบรกเกอร์ พบว่า จาก 2 ปัจจัยลบดังกล่าวที่ยังกดดันตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ SET Index ปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,540 จุด โดยนักวิเคราะห์ 4 แห่ง ประเมินดัชนีไว้ดังนี้
ช่วงดัชนีต่ำสุด
|
บล.
|
ดัชนีต่ำสุด (จุด)
|
เอเชีย พลัส
|
1,580
|
เคทีบีฯ
|
1,570
|
ไอร่า
|
1,550
|
ยูโอบีฯ
|
1,540
|
*** เงินเฟ้อ - ดอกเบี้ยขาขึ้น ฉุด Flow ไหลออก
ขณะที่ บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่า ตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.65 (MTD) นักลงทุนต่างประเทศ (Fund Flow) มีสถานะขายสุทธิหุ้นไทยถึง 6 ใน 7 วันทำการ โดยมีสถานะขายสุทธิ 9.3 พันล้านบาท (ข้อมูล ณ 13 มิ.ย.65) ถือเป็นเดือนแรกของปี 65 ที่ Fund flow มีสถานะขายสุทธิ
สาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศ มีสถานะพลิกกลับมาขายสุทธิหุ้นไทยครั้งแรก นับตั้งแต่ต้นปี 65 เป็นเพราะตลาดหุ้นไทยได้รับ Sentiment เชิงลบ จากการใช้นโยบายตึงตัวแบบ New Normal ทั้งการขึ้นดอกเบี้ย และลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นอกจากนี้ ยังมีภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
*** กูรูมั่นใจต่างชาติขายสุทธิถึงไตรมาส 3/65
"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า ระบุว่า จากข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งเดือน มิ.ย.65 ต่างชาติกลับมาขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 9 พันล้านบาท ประเมินว่า จากนี้ไปถึงช่วงปลายไตรมาส 3/65 ยังเห็นทิศทางการขายสุทธิหุ้นไทยของ Fund Flow อย่างต่อเนื่อง
สาเหตุหลักเป็นเพราะ จากนี้ไปนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราเร่งตลอดทั้งปี 65 ส่งผลให้เงินดอลลาร์จะเเข็งค่า และ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนหุ้นไทยเริ่มขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน (Fx loss) และต้องขายหุ้นไทยออกไปเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว
เช่นเดียวกับ บล.เอเซีย พลัส ที่ให้ข้อมูลเพิ่เติมว่า ในช่วงที่เหลือของปี 65 ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่ายังมีโอกาสเห็น Momentum Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมี 4 ปัจจัยที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ดังนี้
1. ตลาดคาด Fed มีโอกาสใช้นโยบายการเงินเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ Spread ดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐกว้างขึ้น อาจส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับดอกเบี้ยขึ้นตาม เพื่อสกัดค่าเงินบาทอ่อนและเงินเฟ้อ การเร่งขึ้นดอกเบี้ยถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่กดดันตลาด เนื่องจากตามกลไกหาก กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จะกดดันเป้าหมาย SET ลง 88 จุด เหลือ 1,722 จุด และขึ้นดอกเบี้ย 0.75% จะกดดันเป้าหมาย SET ลง 240 จุด เหลือ 1,570 จุด
2.เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อ กดดันให้ต่างชาติมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น หาก Spread ดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐกว้างขึ้น จะกดดันเม็ดเงินไหลกลับไปสู่ตราสารหนี้หรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กดดันให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ จากล่าสุดอ่อนค่าขึ้นมาอยู่ที่ 34.84 บาท/เหรียญ เกือบสูงสุดในรอบ 5 ปี 3 เดือน
3. การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เพื่อสกัดสินค้าราคาแพง ณ ปัจจุบัน อาจส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ต่างๆ ทยอยย่อตัวลง แต่ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นที่อิงกับราคา Commodity ถึง 1 ใน 3 ส่วน อาจกดดันให้ Fund Flow ที่เคยไหลเข้าหุ้นพวกนี้ชะลอลง
4. ความกังวลเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วง Recession เริ่มเห็นโอกาสเกิด Inverted Yield Curve เพิ่มขึ้น โดยล่าสุด Bond Yield สหรัฐระยะสั้น เร่งขึ้นมาเร็วจน Bond Yield 5 ปี ขึ้นแซง 30 ปี และ Bond Yield 2 ปี 3.06% เพิ่มเข้าใกล้ 10 ปี 3.16% (ห่างกันเพียง 10 bps.) ซึ่งเวลาเกิด Inverted Yield Curve ทุกครั้ง Fund Flow มักจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง และตลาดหุ้นไทยเสมอ
*** พบ 16 หุ้น เสี่ยงถูก Fund Flow เทขายต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจมุมมองโบรกเกอร์ 4 แห่ง เกี่ยวกับหุ้นที่มีความเสี่ยงจะถูกนักลงทุนต่างประเทศเทขายนับจากนี้ พบว่า มีทั้งหมด 16 บริษัท ประกอบด้วย
4 โบรกฯ ชี้เป้า 16 หุ้น เสี่ยงถูก Fund flow เทขาย
|
บล.
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาเหมาะสม (บ.)
|
%อัพไซด์*
|
เคทีบีฯ
|
KBANK
|
190
|
29.25
|
BDMS
|
31
|
25.00
|
CPALL
|
72
|
16.60
|
PTTEP
|
190
|
9.83
|
BBL
|
146
|
9.77
|
ADVANC
|
220
|
6.28
|
ยูโอบีฯ
|
BGRIM
|
42.65
|
26.37
|
PTTGC
|
57
|
25.97
|
EGCO
|
200
|
14.94
|
SCC
|
412
|
14.44
|
GULF
|
47
|
0.53
|
PTTEP
|
165
|
(-4.62)
|
เอเชีย พลัส
|
ADVANC
|
245
|
18.36
|
CRC
|
40.75
|
15.60
|
KBANK
|
158
|
7.48
|
TOP
|
55
|
2.80
|
BCP
|
32
|
0.79
|
PTTEP
|
149
|
(-13.87)
|
ไอร่า
|
TOP
|
68.3
|
27.66
|
BCP
|
37.8
|
19.06
|
SPRC
|
13
|
3.17
|
ESSO
|
11.1
|
(-5.93)
|
*อัพไซด์เทียบราคาปิด 13 มิ.ย.65
|
*** กูรูชี้หุ้นพลังงานเตรียมตัวรับแรงกระแทก
16 บจ.ดังกล่าว เป็นหุ้นในดัชนี SET100 ทั้งหมด โดยกลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคติดโผสูงสุด จำนวน 9 บริษัท รองลงมา คือ กลุ่มธุรกิจพาณิชย์ และ ธนาคารพาณิชย์ ที่ติดโผ จำนวน 2 บริษัท เท่ากัน
โดย บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เป็นบริษัทที่ถูกนักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสที่จะถูก Fund flow เทขายอย่างต่อเนื่องในระยะถัดไป จากจำนวนโบรกเกอร์ทั้งหมด 3 แห่ง ที่มีความเห็นตรงกัน
สาเหตุหลักเป็นเพราะ ก่อนหน้านี้ PTTEP เป็นหุ้นที่ถูกนักลงทุนต่างประเทศซื้อค่อนข้างสูง ประกอบกับ ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามทิศทางราคาน้ำมันขาขึ้น จนทำให้มูลค่า (Valuation) ณ ปัจจุบัน เริ่มตึงตัวแล้ว
ขณะที่ มีอีก 2 บริษัท ในกลุ่มพลังงานฯ ที่มีโบรกเกอร์แนะนำตรงกัน 2 แห่ง ประกอบด้วย บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) โดยมีสาเหตุหลัก จากก่อนหน้านี้ถูก Fund flow เข้าซื้อจำนวนมาก ประกอบกับ ราคาหุ้น ตั้งแต่ต้นปี ปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้วเช่นกัน
*** 2 หุ้นพลังงานฯ ราคาไม่เหลืออัพไซด์แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน เทียบกับราคาเหมาะสมของโบรกเกอร์ พบว่า มีหุ้น 2 บริษัท จากทั้งหมด 16 บริษัท ราคาหุ้นที่ซื้อ - ขาย ณ ปัจจุบัน ไม่เหลืออัพไซด์ให้นักลงทุนได้ลุ้นแล้ว ประกอบด้วย บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่ราคาหุ้นเกินพื้นฐาน 4.62 - 13.87% และ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) ราคาหุ้นเกินพื้นฐาน 5.93%
นอกจากนี้ ยังมีอีก 7 บริษัท ที่ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน มีอัพไซด์ต่ำกว่า 10% ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 9.77%, ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 7.48%, บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 6.28%
ส่วน บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 3.17%, บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 2.8%, บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 0.79% และ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 0.53%
*** 4 โบรกฯ ชี้เป้า 10 หุ้น Oversold
ขณะเดียวกัน เมื่อสำรวจกลยุทธ์ลงทุนของนักวิเคราะห์ 4 แห่งดังกล่าวเพิ่มเติม พบว่า มีหุ้น 10 บริษัท ที่โบรกเกอร์ มองว่า เป็นหุ้นที่เข้าข่าย Over sold ประกอบด้วย
ชี้เป้า 10 หุ้น Oversold
|
บล.
|
ขื่อย่อหุ้น
|
ราคาเหมาะสม (บ.)
|
%อัพไซด์*
|
เอเชีย พลัส
|
COM7
|
49.5
|
51.15
|
TIDLOR
|
42
|
32.28
|
HMPRO
|
17.2
|
25.55
|
AP
|
12
|
20.00
|
ยูโอบีฯ
|
CPALL
|
82
|
31.20
|
OSP
|
40.5
|
20.00
|
CBG
|
117
|
13.04
|
ไอร่า
|
SCB
|
160.5
|
48.61
|
KBANK
|
178.7
|
20.74
|
เคทีบีฯ
|
PSL
|
26
|
48.57
|
AP
|
12.8
|
26.73
|
*อัพไซด์เทียบราคาปิด 14 มิ.ย.65
|
10 บริษัทดังกล่าว เป็นบริษัทในดัชนี SET100 ทั้งหมด โดยหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ ติดโผสูงสุด จำนวน 3 บริษัท รองลงมา คือ หุ้นในกลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และ อาหารและครื่องดื่ม ที่ติดโผ จำนวน 2 บริษัท เท่ากัน
โดย บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) เป็นบริษัท ที่ถูกนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันมากสุด 2 แห่ง โดยราคาหุ้นที่ซื้อ - ขาย ณ ปัจจุบัน มีอัพไซด์ระหว่าง 20 - 26.73%
*** พบ 5 หุ้น Oversold อัพไซด์เกิน 30%
ขณะเดียวกัน มีหุ้น Oversold จำนวน 5 บริษัท ที่ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน มีอัพไซด์มากกว่า 30% ประกอบด้วย บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 51.15%, บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 48.61%
ด้าน บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 48.57%, บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 32.28% และ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 31.20%