ปีนี้ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1.65 แสนลบ. ขณะที่ 20 หุ้นที่ถูกซื้อสูงสุดเป็นหุ้น SET50 ทั้งหมด ดันราคาหุ้นพุ่งเฉลี่ย 14.47% พบ PTTEP ถูกซื้อสูงสุด 2.38 หมื่นลบ. หนุนราคาหุ้นวิ่งสูงสุด 62.71% ด้านกูรูชี้เศรษฐกิจไทยเติบโตสวนทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ดึง Flow ไหลเข้า มองต่างชาติซื้อต่อเนื่องถึงปี 66
*** ต่างชาติซื้อหุ้นไทยสูงสุดประวัติการณ์
"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจการซื้อหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี (YTD )ของนักลงทุนต่างประเทศ พบปีนี้ซื้อสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระดับ 1.65 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ 8 พ.ย.65) หลังขายต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกันก่อนหน้านี้ (2560-2564)
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเกิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2548 ที่ซื้อสุทธิทั้งปี 1.19 แสนล้านบาท
ขณะที่ เมื่อสำรวจการซื้อขายของ "บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด" (NVDR) ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่สนใจลงทุนหุ้นไทย พบว่า 20 บริษัทแรกที่ถูกซื้อสุทธิปีนี้ ทั้งหมดเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในดัชนี SET50 ประกอบด้วย
20 หุ้นต่างชาติซื้อสุทธิสูงสุดปี 65 |
ชื่อย่อหุ้น | มูลค่าซื้อสุทธิ (ลบ.) | ราคาปิด 8 พ.ย. (บ.) | %chg YTD |
PTTEP | 23,895 | 192 | 62.71 |
BDMS | 18,682 | 30.25 | 31.52 |
AOT | 13,560 | 74.25 | 21.72 |
BH | 13,112 | 221 | 56.74 |
EA | 11,387 | 98.25 | 2.34 |
KBANK | 9,051 | 148.5 | 4.58 |
TOP | 8,156 | 57.25 | 15.66 |
IVL | 7,162 | 43 | -0.58 |
TRUE | 7,073 | 4.92 | 2.93 |
BANPU | 6,611 | 12.9 | 21.7 |
CPALL | 5,954 | 61 | 3.39 |
ADVANC | 5,809 | 187.5 | -18.48 |
BCP | 5,564 | 33 | 30.69 |
CPF | 5,217 | 25.25 | -0.98 |
CRC | 4,856 | 40.75 | 27.34 |
HMPRO | 4,434 | 14.5 | 0 |
KTB | 4,303 | 17.8 | 34.85 |
CPN | 4,120 | 68.75 | 21.68 |
OR | 3,548 | 24.9 | -7.78 |
OSP | 3,503 | 27.25 | -20.44 |
ที่มา : SETSMART ณ 8 พ.ย.65 |
20 บริษัทดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคที่ติดโผสูงสุด จำนวน 6 บริษัท รองลงมา คือ หุ้นในกลุ่มธุรกิจพาณิชย์ที่ติดโผ จำนวน 3 บริษัท
*** "PTTEP" ถูกซื้อสูงสุด 2.38 หมื่นลบ.
โดย บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เป็นบริษัทที่ถูกนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิสูงสุด 2.38 หมื่นล้านบาท รองลงมา คือ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ที่ถูกนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1.86 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ มีอีก 3 บริษัท ที่ถูกนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ถูกซื้อสุทธิ 1.35 หมื่นล้านบาท, บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ถูกซื้อสุทธิ 1.31 หมื่นล้านบาท และ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ถูกซื้อสุทธิ 1.13 หมื่นล้านบาท
*** ผลตอบแทนปีนี้บวกเฉลี่ย 14.47%
โดย บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เป็นบริษัทที่ราคาหุ้น YTD ปรับตัวขึ้นสูงสุด 62.71% รองลงมา คือ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ที่ราคาหุ้น YTD ปรับตัวขึ้น 56.74%
นอกจากนี้ ยังมีอีกถึง 7 บริษัท ที่ราคาหุ้น YTD ปรับตัวขึ้นมากกว่า 20% ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย (KTB) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 34.85%, บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 31.52%, บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 30.69%
ด้าน บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 27.34%, บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 21.72%, บมจ.บ้านปู (BANPU) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 21.7% และ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 21.68%
*** กูรูชี้เศรษฐกิจกำลังฟื้น หนุน Flow ไหลเข้า
"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไอร่า ระบุว่า มี 2 ปัจจัย ที่ทำให้ปีนี้ นักลงทุนต่างประเทศ พลิกกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบด้วย
1.เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว : โดยปี 66 เศรษฐกิจไทยเป็นเพียงไม่กี่ชาติในโลกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เทียบกับชาติมหาอำนาจที่เศราฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวจากผลกระทบเงินเฟ้อสูง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงตามไปด้วย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยไทยยังอยู่ในระดับต่ำ และปี 66 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 20 ล้านคน
2.ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มเกินดุล : ก่อนหน้านี้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมาก หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หนุนเงินดอลลาร์แข็งค่า อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน เริ่มเห็นเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มเกินดุล ปัจจัยดังกล่าว ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีความมั่นใจต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
*** โบรกฯมอง Flow ยังไหลเข้าต่อเนื่องถึงปี 66
ด้าน "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และนักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) เสริมว่า Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องถึงปี 66 เป็นอย่างน้อย เนื่องจากประเทศไทยกลับมามีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอีกครั้ง สวนทางกลับ 2 ใน 3 ประเทศทั่วโลก ที่ปัจจุบันกำลังขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ขณะที่ หนี้สาธารณะของไทย เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วยังอยู่ในระดับต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยไทยมีสัดส่วนหนี้อยู่ราว 70% ของ GDP ขณะที่ ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลก ณ ปัจจุบัน มีหนี้สาธารณะเฉลี่ยเกิน 200% ของ GDP
นอกจากนี้ โมเมนตัมการเติบโตของประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และหลายประเทศกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย สะท้อนจากทวีปยุโรป ที่กำลังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อสูง, สหรัฐฯกำลังมีปัญหาการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยี ส่วน จีนกำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการ Zero Covid ขณะที่ประเทศไทย ยังเห็นภาพการฟื้นตัวในปี 65 - 66 จากการท่องเที่ยวฟื้นตัว
*** แนะกลยุทธ์เก็งกำไรหุ้นเป้าหมาย Flow
"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" กลับมากล่าวต่อว่า สำหรับกลยุทธ์เข้าเก็งกำไรหุ้นที่ตกเป็นเป้าหมายนักลงทุนต่างประเทศ ทำได้โดยคัดหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่มักจะตกเป็นเป้าหมายของ Fund Flow อยู่แล้ว หลังจากนั้น แนะนำนักลงทุนพิจารณาราคาหุ้นก่อนหน้านี้ ว่าปรับตัวขึ้นจนมูลค่าหุ้นเริ่มตึงตัวหรือยัง
หากพบว่าหุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว อาจทำให้การเข้าลงทุนไม่น่าสนใจ จึงต้องเปลี่ยนไปหาหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวขึ้นมากนัก โดย ปัจจุบัน ก็จะเป็นหุ้นในกลุ่ม ค้าปลีก และธนาคารพาณิชย์ ที่ยังสามารถดักซื้อได้ เพราะราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวขึ้นมากนัก อีกทั้งผลการดำเนินงาน มีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
ส่วน "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" เสริมว่า หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มค้าปลีก, ธนาคารพาณิชย์ และห้างสรรพสินค้า ยังสามารถดักซื้อได้ เพราะคาดว่า จะตกเป็นเป้าหมายการซื้อของนักลงทุนต่างประเทศในระยะถัดไป ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการเปิดเมือง