JKN มีข่าวช็อคอีกแล้ว ! หลังยื่นขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ฉุดราคาหุ้น 9 พ.ย. ดิ่งแตะฟลอร์เป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ เหลือ 0.76 บาท แต่ก่อนจะมาถึงวันนี้ เคยกำไรโต 4 ปีซ้อน ราคาเคยไปสูงสุดถึง 16.27 บาท หลังเข้า IPO ตั้งแต่ปี 60 ทว่า งบการเงินเริ่มส่งสัญญาณอันตรายตั้งแต่ปี 61 แต่ยังถูกมองข้ามด้วยกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จับตาหลังเข้าฟื้นฟูกิจการจะเป็นอย่างไร ?

*** สุดช็อค ! JKN ขอศาลล้มละลายกลางฟื้นฟูกิจการ  

เป็นกระแสข่าวร้อนแรงที่สุดของรอบสัปดาห์นี้เลยก็ว่าได้ หลังเช้าวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา บรรดาสื่อใหญ่ - น้อย พากันเล่นข่าว บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา

หลักใหญ่ใจความของการขอฟื้นฟูกิจการของ JKN ครั้งนี้ คือ ต้องการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องภายในบริษัท หลังก่อนหน้านี้ส่อแววระส่ำ ตั้งแต่ขอเลื่อนผู้ถือหุ้นกู้ชำระดอกเบี้ย ตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว

*** ย้อนความหลังอันหวานชื่น กำไรเคยโต 4 ปีซ้อน

แต่ก่อนที่ JKN จะมาถึงจุดนี้ เชื่อหรือไม่ว่า ครั้งหนึ่ง ก็เคยถูกนักลงทุนหลายราย คาดหวังว่า JKN จะเป็นหุ้นที่สามารถสร้างการเติบโตในระดับสูง (Growth Stock) ได้มาก่อน อีกหนึ่งบริษัท

เนื่องจาก ตั้งแต่ JKN จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี พ.ศ.2560 ด้วยการเริ่มเข้าเทรดในกระดานเล็ก อย่างตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ผลการดำเนินงานก็เติบโตขึ้นต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อน 

โดยปี 2560 - 2563 มีกำไรสุทธิ 187.67 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14.35% จากปีก่อน, 227.68 ล้านบาท เติบโตขึ้น 21.31% จากปีก่อน, 252.81 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11.03% จากปีก่อน และ 312.47 ล้านบาท เติบโตขึ้น 23.59% จากปีก่อน ตามลำดับ 

สำหรับ ปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานในระยะแรก ๆ ของ JKN เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักเป็นเพราะในช่วงปี 2561 - 2562 ทาง JKN สามารถสร้างการเติบโตของรายได้ธุรกิจให้บริการ และจำหน่ายลิขสิทธ์คอนเทนต์ได้อย่างต่อเนื่อง

โดยปี 2561 กวาดร้ายได้ไป 1,317.74 ล้านบาท เติบโตขึ้น 23.07% จากปีก่อน และปี 2562 ยังทำรายได้อีก 1,641.82 ล้านบาท เติบโต 24.59% จากปีก่อน หลังเริ่มเพิ่มช่องทางการจำหน่ายคอนเทนต์สู่ต่างประเทศตั้งแต่ปี 2561 จากเดิมที่มีแค่ตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ ในช่วงดังกล่าว JKN ยังมีธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของผลการดำเนินงานอีกแรงด้วย 

*** ปีแรกที่เข้าเทรดทรงหุ้นยังดี แต่หลังจากนั้นเริ่มรูด !

โดยราคาหุ้น JKN ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯวันแรก มีราคาเปิดที่ 9 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นจากราคา IPO (8 บาท/หุ้น) ที่ 12.5% โดยในวันแรกนั้นเอง ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ระดับ 9.9 บาท/หุ้น หรือเพิ่มขึ้น 23.75% จากราคา IPO และราคาทำระดับต่ำสุดของวันที่ 8.25 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 3.12% จากราคา IPO และปิดซื้อขายวันแรกด้วยราคา 8.4 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 5% จากราคา IPO 

ขณะที่ ปีแรกของการเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ JKN ทำราคาสูงสุดที่ 13.16 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 64.5% จากราคา IPO ก่อนปิดปี 2560 ไปด้วยราคา 12.53 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 56.62% จากราคา IPO 

อย่างไรก็ตาม ปีต่อมา (2561) หุ้น JKN ก็ทำจุดสูงสุดได้ที่ราคา 16.27 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 103.37% จากราคา IPO แต่หลังจากนั้นก็รูดลงมาเรื่อย ๆ โดยหากเทียบราคาล่าสุด (9 พ.ย.66) ที่อยู่ในระดับ 0.76 บาท/หุ้น หรือลดลง 90.37% จากราคา IPO ซึ่งสิ่งที่ทำให้ราคาหุ้น JKN รูดลงมาขนาดนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีผลเป็นอย่างมาก

เพราะหากอ้างอิงเฉพาะปี 2566 ราคาหุ้น JKN ปรับตัวลงมาแล้วกว่า 81.12% จากประเด็นลบที่เกิดขึ้น อย่างการผิดนัดชำระหุ้นกู้, ขาดสภาพคล่องจนต้องไปหาผู้ร่วมทุน ถึงขั้นมีข่าวว่า เคยจะขายช่อง JKN18 ให้กลุ่ม TOP NEWS แต่กระแสข่าวดังกล่าวก็เงียบลงไปแล้ว โดยเป็นเพียงการจับมือช่วยกันบริหารธุรกิจ และล่าสุด คือ การขอเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ

ซึ่งถ้าเรานับเล่น ๆ เฉพาะปีนี้ จะพบว่า หุ้น JKN ปรับตัวลงไปแตะฟลอร์มาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นวันที่ 31 ส.ค. ต่อด้วย 1 ก.ย.ที่ผ่านมา (ฟลอร์ 2 วันติด) และล่าสุด 9 พ.ย.ที่ผ่านมา 

*** เริ่มลงทุนเกินตัว ตั้งแต่ปี 61 สัญญาณอันตรายปรากฏ !

ด้วยการที่ JKN เริ่มทำธุรกิจจากขนาดเล็กมาก่อน แล้วจึงค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดังจะเห็นจากข้อมูลข้างต้นที่เริ่มขยายตลาดต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา หรือแม้แต่ช่วงปี 2564 ที่กระแส "กัญชง - กัญชา" บูม ๆ ก็ไม่พลาดที่ผู้บริหารของ JKN จะออกข่าวว่า สนใจจะกระโดดเข้าไปเล่นในธุรกิจนั้นด้วยเช่นกัน 

ปัจจัยดังกล่าว มองเผิน ๆ เหมือนจะเป็นเรื่องดีสำหรับ JKN หากเราตัดสินกันแค่บรรทัดสุดท้ายของงบการเงิน ที่ทำให้กำไรสุทธิของ JKN เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงดังกล่าว

แต่เรื่องดังกล่าว ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ลาก JKN มาสู่วันที่ขาดสภาพคล่องได้เช่นกัน เพราะในคำอธิบายงบการเงินของ JKN ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเห็นได้ว่า JKN ยอมรับว่า การเร่งขยายธุรกิจเกินไป ก็ส่งผลในแง่ร้ายเช่นกัน เพียงแต่วันที่กำไรเติบโตแบบบานสะพรั่ง ปัญหานั้นก็ยังไม่ถูกใครมองเห็นนั่นเอง

JKN ยอมรับในคำอธิบายงบการเงินว่า ตั้งแต่มีการขยายขนาดของธุรกิจ ทำให้บริษัทต้องลงทุนซื้อคอนเทนต์เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงมีการจัดประชาสัมพันธ์คอนเทนต์ของบริษัท ผ่านการโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ มากขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนรายได้รวมต่อกำไรสุทธิในปี 2561 - 2562 ลดลงสู่ระดับ 16% และ 14.78% ตามลำดับ (เทียบปี 2560 อยู่ที่ระดับ 16.8%)

และแม้ว่า ปี 2563 อาการ จะดีขึ้น แต่แผลก็มาเปิดอีกครั้ง ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา เมื่ออัตราส่วนรายได้รวมต่อกกำไรสุทธิของ JKN ในปี 2564 ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำที่ 9.62% จากปี 2563 ที่อยู่ในระดับ 18.36% 

มิหนำซ้ำ ต้นทุนทางกรเงิน (ดอกเบี้ย) ของ JKN ในช่วงปี 2564 ก็เริ่มทยานสูงขึ้นมาอยู่ที่ 59.51 ล้านบาท/ปี หรือเพิ่มขึ้น 37.35% จากปีก่อน และในปี 65 ก็เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 107.08 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 79.93% จากปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และการออกจำหน่ายหุ้นกู้ที่เพิ่มขึ้น

*** ที่ตามมา คือ หมุนเงินไม่ทัน - ธุรกิจที่ลงทุนไม่สร้างกำไร

ด้าน นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แห่งหนึ่ง ให้ความเห็นตอกย้ำว่า ปัญหาขาดสภาพคล่องของ JKN เกิดขึ้น เพราะเร่งลงทุนในกิจการที่มีมูลค่าสูงเกินไป (ซื้อ Miss Universe Organization : MUO มูลค่า 800 ล้านบาท) และผลประกอบการของบริษัทที่เข้าไปลงทุนก็ไม่สามารถหนุนผลประกอบการได้อย่างมีนัยสำคัญหลังเข้าลงทุน 

ขณะที่ บริษัทต้องก่อหนี้จำนวนมากเพื่อลงทุน ประกอบกับ การระดมทุนด้วยการเพิ่มทุนเมื่อต้นปีที่ผ่านมาขายได้ไม่ครบตามจำนวนที่ต้องการ (ขาย RO ได้เพียง 800 ล้านบาท จากทั้งหมด 1,118.25 ล้านบาท ส่วนการขาย PP มูลค่า 300 ล้านบาทก็ยังไม่แล้วเสร็จ) จึงทำให้ขาดสภาพคล่อง แม้ผลการดำเนินงานปกติจะมีรายได้กำไรเติบโต แต่ไม่เพียงพอกับมูลค่าหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ

*** วิกฤติความเชื่อมั่นระส่ำ ! จับตาหลังฟื้นฟูกิจการ 

สุดท้ายนี้ คงต้องติดตามว่า หลังจากการเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ JKN จะสามารถแก้ไขปัญหาสภาพคล่องฝืดเคืองของบริษัทได้มากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าหากทำได้ ก็จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุน กลับมาได้อีกครั้ง

แต่ถ้าหากอ้างอิงตามสถิติย้อนหลังที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่า มีหุ้นจำนวนน้อยมาก ที่สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง หลังเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ ....