efinancethai

FinTech

ตลาดคริปโทฯ ในปี 2024: อะไรที่ต้องจับตามอง?

ตลาดคริปโทฯ ในปี 2024: อะไรที่ต้องจับตามอง?

 

ตลาดคริปโทฯ ในปี 2024: อะไรที่ต้องจับตามอง?

 

 

ปี 2023 นับเป็นปีของการฟื้นตัวของตลาดคริปโตอย่างแท้จริง โดยที่ขนาดของตลาด (Market Cap) เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว จาก $800 billion ไปที่ $1.6 trillion และตัวที่นำการพุ่งขึ้นของตลาดก็คือ Bitcoin ที่พุ่งขึ้นเกินกว่า 150% จาก $16,000 มาที่ $43,000

 

ปี 2024 นับเป็นปีที่ต้องจับตามอง สำหรับการเติบโตของตลาดคริปโทเพราะเป็นปีที่หลายๆ คนเชื่อว่าอาจจะเป็นปีแห่งการ “Bull Run” มีเหตุการณ์อะไรบ้าง ที่เราควรจะต้องจับตามอง

 

Bitcoin Spot ETFs

 

Bitcoin ETFs (Exchange Traded Fund) คือกองทุนประเภทหนึ่ง ที่มีราคาวิ่งตามราคา Bitcoin ซึ่งสามารถซื้อขายได้ใน Exchange ปกติ ที่ไม่ใช่ Exchange สำหรับการเทรด Cryptocurrencies ซึ่งจะส่งผลทางบวกต่อราคาของ Bitcoin หลายข้อ เช่น นักลงทุนในโลกเก่าที่ไม่เคยอยู่ในตลาดคริปโทมาก่อน หรือสถาบันทางการเงินที่มีข้อกำหนดให้ไม่สามารถซื้อ Bitcoin ได้ สามารถที่จะมี Exposure กับราคาของ Bitcoin ได้ผ่าน ETFs ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินใหม่ๆ มหาศาลไหลเข้าสู่ Bitcoin และ การที่มีนักลงทุนในฝั่ง Traditional เข้ามาถือ Bitcoin มากยิ่งขึ้น จะทำให้สภาพคล่อง (Liquidity) ของตลาดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ Bitcoin มีความผันผวนน้อยลง

 

ปัจจุบันมีกองทุนที่ใหญ่ที่สุด ระดับโลกหลายๆ กองทุน เช่น Blackrock, Fidelity หรือ Ark Invest ได้เข้ามายื่นเรื่องขอ Bitcoin ETFs ต่อ ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกา ซึ่งในเดือนมกราคมก็จะเป็นอีกหนึ่ง Deadline ที่ ก.ล.ต. สหรัฐจะต้องตัดสินว่าจะให้ Bitcoin ETFs ผ่านหรือไม่ ซึ่งนักวิเคราะห์ระดับโลกหลายๆ คนก็มองตรงกันว่า การมาของ Bitcoin ETFs คงขึ้นอยู่กับแค่เวลา และปี 2024 นับเป็นปีที่น่าจะเป็นปีแห่ง Bitcoin ETFs

 

Bitcoin Halving

 

เนื่องจากระบบในการยืนยันธุรกรรมของ Bitcoin เป็นระบบที่เรียกว่า Proof of Work (PoW) ซึ่งในการยืนยันธุรกรรม จะมีการแจก Bitcoin จำนวนหนึ่ง จากระบบ ให้กับผู้ที่มีส่วนช่วยในการยืนยันธุรกรรม (Mining) ซึ่งจำนวน Bitcoin ที่แจกเป็นรางวัลให้กับผู้มีส่วนช่วยในการยืนยันธุรกรรมจะลดลงทุกๆ 4 ปี ซึ่งเรียกปรากฏการนี้ว่า Bitcoin Halving ซึ่งในเดือน เมษายน ปีหน้า จะเป็นการ Halving ครั้งที่ 4 ของ Bitcoin

 

ตามสถิติ ในรอบ 4 ปีของการ Halving ราคาของ Bitcoin จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง โดยเริ่มจากช่วงแรก คือช่วง “Bull Run” ซึ่งเป็นที่ราคาพุ่งขึ้นสูงมากโดยจะกินระยะเวลาประมาณ 1 ปี ครึ่ง และตามด้วยช่วง “Bear Market” ซึ่งตลาดจะร่วงอย่างรวดเร็ว และหนักหน่วง ซึ่งจะกินเวลาราวๆ 1 ปีกว่าๆ และหลังจากนั้นจะเป็นช่วงสุดท้าย ซึ่งคือช่วงของ “Sideway Up” ซึ่งคือระยะที่ตลาดแกว่งขึ้นลง แต่มีแนวโน้มไปในทางขาขึ้น

 

ซึ่งตอนนี้เราอยู่ในช่วงสุดท้ายของ Halving Cycle ก่อนที่จะเข้าสู่  Halving ครั้งใหม่ในปีหน้า และจนถึงปัจจุบัน ก็ยังนับว่า Bitcoin ยังรักษา Pattern ของราคาตามการ Halving รอบก่อนๆ ซึ่งทำให้คนจำนวนมากคาดหวังถึงการเพิ่มขึ้นของราคา และการมาถึงของ “Bull Run” หลังเดือน เมษายน 2024

 

Real World Assets

 

นักวิเคราะห์หลายๆ คนเชื่อว่า ในปี 2024 จะเป็นปีของการนำสินทรัพย์ในโลกจริงเข้ามาอยู่บน Blockchain ไม่ว่าจะมาในรูปแบบของการลงทุน หรือในรูปแบบของการใช้ utility ของสินทรัพย์ต่างๆ ผ่านทาง Tokens ต่างๆ ก็ตาม

 

ถึงแม้เราจะได้ยินคำว่า Blockchain และ Cryptocurrencies มานาน แต่ต้องยอมรับว่าถ้าเทียบอายุแล้ว สิ่งเหล่านี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ การมาถึงของเหรียญในยุคแรกๆ ตามมาด้วยการหลอกลวงมากมาย และเหรียญส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมา ก็ไม่ได้มี utility หรือประโยชน์ที่จับต้องได้จริงๆ เลย 

 

แต่อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี Blockchain รวมถึงเหรียญ Digital Tokens ต่างๆ ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากในแง่การใช้งาน เพราะจะช่วยให้เราสามารถถือเหรียญเหล่านี้ เพื่อแสดงสิทธิ ทั้งในแง่ของการลงทุน และการใช้ประโยชน์ ได้อย่างปลอดภัย โปร่งใส และไม่ต้องกลัวการถูกปลอมแปลง

 

เมื่อตลาดเข้าใจเทคโนโลยีมากขึ้น และกฏระเบียบต่างๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จะทำให้เราเห็น “ผู้เล่น” ในฝั่ง Traditional เช่นบริษัท ห้างร้าน รวมไปถึงโรงแรม ต่างๆ เริ่มเข้ามารับเอาเทคโนโลยีนี้ ไปใช้ในการสร้าง Productivity ให้กับบริษัทของตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในไทย ที่มีข่าวเรื่องการอนุญาตให้บริษัทต่างๆ สามารถออกเหรียญประเภท utility พร้อมใช้ ที่ไม่ซับซ้อน และไม่ประสงค์จะให้มีการซื้อขายในตลาดรอง ได้ โดยที่ไม่ต้องผ่าน ก.ล.ต. ยิ่งจะเป็นตัวเร่งให้ภาคธุรกิจต่างๆ เข้ามาใช้ Blockchain และ Digital Tokens เป็นเครื่องมือในการเพิ่มผลผลิตทางธุรกิจ

 

DeFi 2.0 Come Back

 

ในช่วงปี 2022 จนถึงต้นปี 2023 นับเป็นช่วงที่เลวร้ายสำหรับ Decentralized Finance (DeFi) หรือระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง เหตุผลเพราะแพลตฟอร์มต่างๆ พยายามสร้างระบบที่สามารถหาเงินได้ แต่ไม่ยั่งยืน ผู้ใช้งานสามารถเข้ามาฝากเหรียญและได้ผลตอบแทนถึง 20% โดยที่ที่มาของผลตอบแทนมาจากเหรียญที่เสกมาจากอากาศ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป ก็กลับกลายเป็นระเบิดเวลา ที่สุดท้ายระเบิดออก และเป็นต้นเหตุของ Crypto Winter ในปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ Cryptocurrencies ซึ่งเปรียบเทียบได้กับเงิน ระบบธุรกรรมทางการเงินอย่าง DeFi ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เมื่อเงินมีมูลค่ามากขึ้น ธุรกิจทางฝั่งบริการทางด้านการเงินก็จะเฟื่องฟูตามไปด้วยเช่นกัน

 

ในปี 2024 การกลับมาของ DeFi ที่น่าจับตามองคือ DeFi ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้จริงๆ ซึ่งเน้นให้บริการผู้ใช้งาน มากกว่าขายเหรียญ และผลตอบแทนที่ผู้ใช้งานได้รับ มาจากกำไรของแพลตฟอร์มจริงๆ สามารถเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการทางการเงินได้อย่างแท้จริง และยั่งยืน ไม่ใช่การเสกเหรียญจากอากาศขึ้นมาเพื่อสร้างระเบิดเวลา


 

บทความโดย ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน (เอ็ม) PhD in Financial Mathematics 

ผู้ร่วมก่อตั้ง และที่ปรึกษา ของ ForwardX - Decentralized Derivatives Platform และ Forward Labs - Blockchain technology labs และ อาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

 

กราฟิก: ณัฐชนน พูนชัย (Boom)

 

แบบสอบถามความพึงพอใจ






บทความอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh