Investment Token สินทรัพย์เพื่อการลงทุนแห่งอนาคต
แม้ว่าโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) จะเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum หรือ NFT ต่างๆ แต่เมื่อดูมูลค่าสินทรัพย์ (Market Cap) ทั้งหมดของ Digital Asset ยังถือได้ว่าเล็กมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ต่างๆ ในโลกปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่น Market cap ทั้งหมดของ Bitcoin ในปัจจุบันอยู่ที่ 504 Billion USD เมื่อนำมาเทียบกับ Market Cap ของหุ้น Apple ที่อยู่ที่ 2,903 Billion USD (เทียบราคาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน) จะเห็นได้ว่ามูลค่าตลาดทั้งหมดของ Bitcoin ยังเล็กกว่า Market Cap ของหุ้น Apple เพียงตัวเดียว หรือเมื่อนำมาเทียบกับมูลค่าตลาดของทองคำที่อยู่ที่ 12,829 Billion USD ก็ยังห่างกันมากๆ
เมื่อถอยมาดูภาพรวมดังนี้แล้ว ตลาดของสินทรัพย์ดิจิทัล จึงอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้นเอง ซึ่งแม้ว่าในเชิงเทคโนโลยีได้มีการพิสูจน์มาแล้วในระยะเวลาพอสมควรว่ามีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและมีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่ง แต่เหตุผลหลักที่เงินทุนจากโลกการเงินแบบปัจจุบัน (Traditional Finance) โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันหรือสถาบันการเงินต่างๆ ยังไม่ได้นำเงินเข้าสู่กระแสของ Digital Asset มากนัก ก็มากจากความไม่เข้าใจในความเสี่ยง และความไม่ชัดเจนของกฎหมายและการควบคุมต่างๆ ของผู้คุมกฎด้านการเงินในแต่ละประเทศนั่นเอง
ซึ่งเรื่องนี้เป็นกำแพงสำคัญที่น่าจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาด้านนี้ แต่จากข่าวล่าสุดนำโดย ก.ล.ต. ของสหรัฐอเมริกา ก็ได้เริ่มให้ความชัดเจนมากขึ้นแล้วกับสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ และนี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะเมื่อกฎระเบียนชัดเจนมากขึ้น เราจะได้เห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดแน่ๆ ในแวดวงของสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ
ระหว่างที่รอกฎระเบียบที่ชัดเจนนั้น ในปัจจุบันได้เริ่มมีตัวเชื่อมสำคัญระหว่างโลกของ Traditiona Finance และ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ต่างๆ เข้ามาด้วยกัน นั่นก็คือ สินทรัพย์ที่เรียกว่า Investment Token หรือโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากขึ้นและส่วนใหญ่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Asset Backed Token) ซึ่งถือเป็นตัวกลางระหว่างสองโลกที่เชื่อมโลกของการลุงทุนและเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน วันนี้เราจะมาลงรายละเอียดเรื่องนี้กันครับ
Asset Tokenization คืออะไร
ก่อนที่จะไปถึงเรื่องโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน อยากจะพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า Asset Tokenization กันอีกสักครั้ง ซึ่งก็คือ การแปลงสินทรัพย์ต่างๆ ในปัจจุบัน เช่น ทองคำ โฉนดที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หุ้น หรือแม้แต่ศิลปะที่มีราคา ให้มาอยู่ในรูปแบบของโทเคนดิจิทัลที่อยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวแทนความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์นั้นๆ ได้ ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีสินทรัพย์อ้างอิงที่ชัดเจน มีความมั่นคงมากขึ้น และยังได้ใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งมีข้อดีหลากหลาย เช่น
- สามารถซื้อขายและแลกเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
- สามารถแบ่งสัดส่วนการถือครองหรือการเป็นเจ้าของเป็นหน่วยย่อยๆได้อย่างไม่จำกัด
- สามารถลดตัวกลางในการจัดการเรื่องความเป็นเจ้าของ
- ค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนหรือดูแลต่ำ
- สามารถตรวจสอบธุรกรรมได้อย่างโปร่งใส เพราะไม่มีใครสามารถเข้าไปแก้ไขได้
- ธุรกรรมสามารถทำแบบไร้พรมแดนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
- สามารถนำไปสู่กระบวนการแบบอัตโนมัติผ่าน Smart Contract
ในเมืองไทยของเรา ถือเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่ได้ยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล และการออกสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ๆ สามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ เพียงแค่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ผ่านพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งในความหมายของ พ.ร.ก. นี้ จะแบ่งสินทรัพย์ดิจิทัลออกเป็น 2 ประเภท คือ คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล ซึ่งทั้งสองประเภทนี้เป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนระบบหรือ เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เหมือนกัน แต่มีจุดประสงค์ต่างกันอยู่คือ
- “คริปโทเคอร์เรนซี” จะถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการ
- “โทเคนดิจิทัล” จะสร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือโทเคน โดยสามารถแบ่งได้อีก 2 ประเภท คือ
โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) จะถูกสร้างเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคล ในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจกรรม เช่น สิทธิจากส่วนแบ่งรายได้ หรือผลกำไรจากการลงทุน
โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) จะถูกสร้างเพื่อกำหนดสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง เป็นตามข้อตกลงของผู้ออกโทเคนดิจิทัลนั้นๆ
ICO การระดมทุนบนโทเคนดิจิตัล
ทุกคนคงรู้จัก IPO หรือ Initial Public Offering ที่เป็นการเสนอขายหุ้นของบริษัทให้กับบุคคลทั่วไป เปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชน ไปเป็นบริษัทมหาชน ส่วน ICO หรือ Initial Coin Offering ก็คล้ายกัน คือ การระดมทุนโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนผ่านโทเคนดิจิทัล แต่ ICO จะให้ผลตอบแทนที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า
มูลค่าของโทเคนดิจิทัลสามารถเป็นตัวแทนของสินทรัพย์ประเภทใดก็ได้ ไม่จำกัดว่าเป็นแค่หุ้นเหมือนกับ IPO และสามารถออกรูปแบบผลตอบแทนการลงทุนได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผลตอบแทนเป็นเงิน (Investment Return) หรือผลตอบแทนเป็นสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ (Utility Return) ดังนั้น ICO จึงเป็นเหมือนอีกหนึ่งช่องทางการลงทุนที่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญขององค์กรมหาชนและองค์ธุรกิจที่สามารถระดมทุนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการเชื่อมโลก 2 โลกที่สามารถนำเม็ดเงินจากโลกการเงินแบบปกติเข้าสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความมั่นคง มั่นใจและอยู่ภายใต้ความควบคุมของ ก.ล.ต.
การระดมทุนแบบ ICO ในประเทศไทย จะต้องทำผ่าน ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ที่ได้รับการรองรับจาก ก.ล.ต. ให้เป็นผู้ประการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ มีหน้าที่กลั่นกรองลักษณะของโทเคนดิจิทัลที่จะเสนอขายคุณสมบัติของผู้ออก และความครบถ้วนถูกต้องของแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลและร่างหนังสือชี้ชวน ในปัจจุบันมีบริษัทที่ได้รับอนุญาตถึง 7 บริษัท และได้มีการออกเหรียญ ICO แบบ Investment Token ในประเทศไทยแล้ว 3 เหรียญ คือ
SiriHub Token
สิริ ฮับ โทเคน (SiriHub Token) เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนโดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์อ้างอิงที่ออกโดย บริษัท เอสพีวี 77 จำกัด และเสนอขายโทเคนดิจิทัลในตลาดแรกผ่าน ICO Portal บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด และจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด
สิริ ฮับ โทเคน มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นกลุ่มอาคารสำนักงาน สิริ แคมปัส ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยมีสัญญาเช่าระยะยาว 12 ปี โดยผู้ลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ทุกไตรมาส ในอัตราร้อยละ 4.5 ต่อปี สำหรับโทเคน SiriHubA และร้อยละ 8.0 ต่อปี สำหรับโทเคน SiriHubB และจะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ส่วนสุดท้าย จากการจำหน่ายทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดโครงการ 4 ปี โดยระดมทุนไปทั้งหมด 2,400 ล้านบาท จาก SiriHubA 1,600 ล้านบาทและ SirihubB 800 ล้านบาท
Destiny Token
เดสทินี โทเคน (Destiny Token) เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนในรูปแบบโครงการ (Project Based) จากภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส 2 ออกโดยบริษัท สเปเชียล เดสทินี และเสนอขายโทเคนดิจิทัลในตลาดแรกผ่าน ICO Portal บริษัท คิวบิค จำกัด ในกลุ่มบริษัท กสิกร บิสิเนส เทคโนโลยี กรุ้ป (KBTG)
เดสทินี โทเคน เป็นโทเคนเพื่อการลงทุนที่จะสามารถได้รับเงินต้นคืนเมื่อสิ้นสุดโครงการ โดยมีผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ 2.99% ต่อปี (ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี) และหากภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส ๒ ทำรายได้ในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยได้ถึง 1,000 ล้านบาท เดสทินี โทเคน จะจ่ายผลตอบแทนโบนัสเพิ่มอีก 2.01% ต่อปี รวมเป็น 5% ต่อปี โดยมีการระดมทุนทั้งหมด 265 ล้านบาท ผ่านโทเคน 3 ประเภท คือ “G” I am Glad ราคาเสนอขาย 5,559 บาทต่อโทเคน, โทเคน “D” I am Delighted ราคาเสนอขาย 155,559 บาทต่อโทเคน และโทเคน “H” I am Happy ราคาเสนอขาย 1,555,559 บาทต่อโทเคนและได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆเพิ่มเติมตามที่กำหนดไว้ เช่น สิทธิได้ดูหนังก่อน สินค้าคอลเลกชันพิเศษจากภาพยนตร์ ส่วนลดชมภาพยนตร์ ไปจนถึงการได้มีชื่อขึ้นในฐานะ Special Destiny Executive Producer ในเครดิตท้ายหนังบุพเพสันนิวาส 2
ซึ่งเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ทางบริษัท สเปเชียล เดสทินี จำกัด ได้ใช้สิทธิ์ไถ่ถอนโทเคนดิจิทัลก่อนกำหนด ทางผู้ลงทุนทั้งหมดก็ได้รับเงินต้นคืนครบถ้วนพร้อมผลตอบแทน 2.99% ต่อปีของมูลค่าเงินลงทุน
Real X Token
เรียลเอ็กซ์ โทเคน เป็นอีกหนึ่งโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนโดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์อ้างอิงที่ออกโดย บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด และเสนอขายโทเคนดิจิทัลในตลาดแรกผ่าน ICO Portal บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) และจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด (TDX) บริษัทในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เรียลเอ็กซ์ โทเคน เป็นการระดมทุนเพื่อนำเงินไปลงทุนในสัญญา RSTA (Revenue Sale and Transfer Agreement) ซึ่งประกอบด้วย ห้องชุดของโครงการพาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์ จำนวนไม่เกิน 138 ห้อง ห้องชุดของโครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท จำนวนไม่เกิน 123 ห้อง และ ห้องชุดของโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จำนวนไม่เกิน 100 ห้อง โดยจะได้รับ ผลตอบแทนการลงทุน 2 ส่วน ได้แก่ ผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิของคอนโดฯ ทั้ง 3 โครงการที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิง เป็นระยะเวลา 10 ปีนับจากเริ่มต้นโครงการ โดยในปีที่ 1-5 บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI จะรับประกันรายรับสุทธิของโครงการที่ 4%-5% ต่อปีตามลำดับ และจะได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาสจากการทยอยจำหน่ายคอนโดฯ ทั้ง 3 โครงการในปีที่ 6-10 (รวมกรณีขยายอายุโครงการ) รวมกับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ
เรียลเอ็กซ์ โทเคน เป็นการระดมทุนทั้งหมดไม่เกิน 3,500 ล้านบาท จาก 19,230,769 โทเคน ที่ราคา 182 บาทต่อโทเคน โดย 1 โทเคนดิจิทัลเปรียบเสมือน 1 ตารางนิ้วของคอนโดหรูทั้งสามแห่งนั่นเอง ซึ่งเรียลเอ็กซ์ โทเคน ยังปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ ยังไม่ได้ออกขาย
จากข้อมูลทั้งสามโทเคนในประเทศไทย โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) จึงถือเป็นการเริ่มต้นที่น่าสนใจที่รวบการลงทุนแบบปกติกับโลกของดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ เป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ที่อยากระดมทุนอย่างถูกต้อง และจากข้อมูลของ ก.ล.ต. ที่แจ้งว่ายังมีโครงการอีกกว่า 70 โครงการที่กำลังอยู่ในช่วงพิจารณา เมื่อกฎระเบียบชัดเจนมากขึ้นนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งถือเป็นแนวโน้มสำคัญที่จะทำให้ไทยสามารถเป็นหนึ่งในศูนย์การระดมทุนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาคได้อย่างแน่นอน
เรามาติดตามชมกันนะครับ
Reference:
https://8marketcap.com/
https://spv77.digital/about/
https://thestandard.co/sirihub-real-estate-backed-token/
https://missiontothemoon.co/investment-token-by-kubix/
https://realxtoken.finance/
https://tokenx.finance/partners/3
https://missiontothemoon.co/asset-tokenization-the-future-of-investment/
https://thunhoon.com/article/234809
https://market.sec.or.th/LicenseCheck/views/DABusiness?ico
กราฟิก: ณัฐชนน พูนชัย (Boom)