มาดูสถิติที่นักลงทุนคิดว่าบิตคอยน์ตายแล้วเกิดใหม่
Source: bitcoin.com
“บิตคอยน์” สกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ตัวแรกของโลกที่เกิดมานานกว่าทศวรรษ ผ่านช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยการยอมรับ การถูกวิพากษ์วิจารณ์ ความกังขาจากนักลงทุนและนักวิเคราะห์ทั่วโลกมากมาย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ บิตคอยน์ก็สามารถอยู่รอดและมี Market cap ที่เติบโตขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน (อ้างอิงจาก Coinmarketcap.com)
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดการขึ้นและลงอย่างเห็นได้ชัดของบิตคอยน์ ซึ่งเป็นเหตุให้นักลงทุนที่ไม่เคยเชื่อหรือบางคนที่เคยเชื่อมั่นในบิตคอยน์ มักจะกล่าวว่า “Bitcoin is dead หรือ บิตคอยน์ตายแล้ว” แต่ก็ยังมีบางมุมมองที่ให้ความเห็นต่างออกไปว่า นี่มันคือการเตรียมตัวเกิดใหม่ของบิตคอยน์ที่จะมั่นคงแข็งแรงกว่าเดิมต่างหาก บทความนี้เราจะพามาดูสถิติของบิตคอยน์และเหตุการณ์ที่นักลงทุนใช้ตัดสินว่าบิตคอยน์ตายแล้วจริงหรือไม่?
บิตคอยน์ตายแล้วมากี่ครั้ง?
ข้อมูลจากเว็บไซต์ 99bitcoins.com ได้รวบรวมและจัดทำเรื่องราวของการจบชีวิตของ “บิตคอยน์” สกุลเงินดิจิทัลที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดไว้ว่า “บิตคอยน์ตายมาแล้ว 473 ครั้ง” ประโยคนี้สร้างความสนใจให้กับนักลงทุน นักวิเคราะห์รวมถึงแฟนตัวยงของบิตคอยน์เป็นอย่างมาก
Source: 99bitcoins.com
โดยสถิติแรกที่ได้มีการวิเคราะห์จุดจบของบิตคอยน์ เกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ในวันที่บิตคอยน์มีมูลค่าเพียง 0.23 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.85 บาทเท่านั้น จากบทวิเคราะห์ที่ชื่อว่า “สาเหตุที่บิตคอยน์ไม่สามารถเป็นสกุลเงินได้” เขียนโดย The Underground Economist มีเนื้อความตอนท้ายระบุว่า “สิ่งเดียวที่ทำให้ Bitcoin มีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้ก็คือความแปลกใหม่ของมัน มันจะคงความแปลกใหม่ตลอดไปหรือจะเปลี่ยนจากสถานะความแปลกใหม่เป็น “ความตาย” ที่เร็วกว่าพริบตา…”
อีกหนึ่งการเสียชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของบิตคอยน์ที่สร้างความไม่มั่นใจให้นักลงทุน เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อ Mt.Gox เอ็กซ์เชนจ์ที่เป็นใหญ่ที่สุดในเวลานั้นได้ถูกแฮ็ก ส่งผลให้ 850,000 BTC ที่คิดเป็นมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาทในปัจจุบันถูกขโมยไป หลังจากนั้นไม่นานก็ทำให้กระดานคริปโทฯนี้ล่มสลาย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การลดลงอย่างมากในมูลค่าของบิตคอยน์ และการสูญเสียความไว้วางใจในสกุลเงินดิจิทัลอีกด้วย
สถิติล่าสุดครั้งที่ 473 ถูกบันทึกไว้เมื่อ 15 มีนาคม 2023 ซึ่งเป็นวันที่บิตคอยน์มีมูลค่าร่วงหล่นไปอยู่ที่ 24,746.07 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 844,694 บาท โดย Robin Brooks หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศและอดีตหัวหน้านักยุทธศาสตร์จาก Goldman Sachs ได้ทวิตข้อความระบุว่า “ปรากฎว่า Bitcoin ก็เป็นแค่สินทรัพย์ฟองสบู่อีกตัวหนึ่งที่พร้อมระเบิดเมื่อ FED เอาจริงเรื่องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การรักษามูลค่าเป็นศูนย์ ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงเป็นศูนย์ ผลตอบแทนเป็นศูนย์ ซาโยนาระ (ลาก่อน) บิตคอยน์…”
Source: Robin Brooks’s Twitter
และไม่นานมานี้วลียอดฮิตก็ได้ถูกพูดอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้ระบุว่าเป็นบิตคอยน์และไม่ได้เกิดจากนักลงทุนหรือนักเศรษฐศาสตร์ที่ต่อต้านคริปโทฯ แต่มาจากมหาเศรษฐีและนักลงทุนด้านเทคโนโลยี Chamath Palihapitiya ผู้ที่ได้เคยกล่าวไว้เมื่อสองปีที่แล้วว่า บิตคอยน์ได้เข้ามาแทนที่ทองคำแล้วและเคยคาดการณ์ว่าสกุลเงินดิจิทัลจะไต่ขึ้นเป็น 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ มาวันนี้มุมมองของเขาได้เปลี่ยนไปโดยให้เหตุผลว่า ธุรกิจคริปโทส่วนใหญ่เริ่มย้ายออกไปตั้งบริษัทนอกประเทศเนื่องจากการกำกับดูแลในสหรัฐ ทำให้อุตสาหกรรมคริปโทเริ่มไม่สดใสอย่างที่เคยเป็นมา ดังที่เขาระบุในรายการ All-in-Podcast ตอนหนึ่งว่า “Crypto is dead in America”
การเกิดใหม่ของบิตคอยน์
แม้ความท้าทายของบิตคอยน์จะมีมากขึ้นทุกวันส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์ร่วงหล่นจนทำให้คนคิดว่าตายแล้วมาหลายร้อยครั้ง แต่ก็ยังเห็นการฟื้นตัวและก้าวไปสู่จุดสูงสุดใหม่ในแต่ละช่วงเวลาได้ ยกตัวอย่างในปี 2020 ด้วยสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก คนหันมาดำเนินชีวิตและทำกิจกรรมบนโลกออนไลน์ พร้อมมองหาโอกาสในการลงทุนทางเลือกในฝั่งดิจิทัลและเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความต้องการสกุลเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน การฟื้นคืนชีพของบิตคอยน์จึงเกิดขึ้นส่งผลให้สกุลเงินดิจิทัลนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 300%
Source: 99bitcoins.com
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2021 บิตคอยน์ทำสถิติราคาสูงสุด (All-time high) อยู่ที่ 68,789 ดอลลาร์สหรัฐท่ามกลางความฮือฮาของนักลงทุนที่กำลังจดจ่อกับราคาบิตคอยน์ที่สูงขึ้นราวกับว่าได้เกิดใหม่ ยังมีอีกมุมที่มีความเห็นที่ไปในแนวทางที่ว่า บิตคอยน์ก็ยังคงเป็นเพียงแชร์ลูกโซ่ เป็นเรื่องเพ้อฝันไม่มีอยู่จริง และมองว่าบิตคอยน์ไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัลที่ดีที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างรายได้จริงจังได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงมุมมองเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายยักษ์ใหญ่ในขณะนั้นได้เลย มีบริษัทหลายแห่งรวมถึง Tesla, MicroStrategy และ Square ที่ออกมาประกาศว่าพวกเขาได้เดินหน้าลงทุนในบิตคอยน์ ธนาคารระดับโลกที่เริ่มสนใจบิตคอยน์เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Goldman Sach, หรือ Morgan Stanley เป็นต้น ส่วนฝั่งรัฐบาลและผู้ที่มีหน้าที่กำกับดูแลได้ออกเกณฑ์ซึ่งจะทำให้สกุลเงินดิจิทัลถูกต้องตามกฎหมาย เป็นช่วงเวลาที่บิตคอยน์ถูกยอมรับมากขึ้นจนหลายคนเชื่อว่าบิตคอยน์จะต้องมีอนาคตที่สดใส
ในขณะที่โลกยังคงพัฒนาและเริ่มเปิดกว้างยอมรับสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมาเรื่อย ๆ บิตคอยน์ก็ได้เผชิญกับความท้าทายและ "การตายแล้วเกิดใหม่" มาพอสมควร ตามสถิติราคาจะเห็นได้ว่ามันก็สามารถอยู่รอดแม้ในสภาวะตลาดหมี อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องอย่าลืมว่าการลงทุนในบิตคอยน์รวมถึงสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ยังมีความเสี่ยง ควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง ตัดสินใจอย่างรอบคอบ และศึกษาหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนด้วยทุกครั้ง
อ้างอิง: Bitkub Blog, 99Bitcoins, Wikipedia, Cryptonomist, Sciencedirect
คำเตือน:
- คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
- ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื้อหาข้างต้นเป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาโดยใช้ข้อมูลในอดีตและเครื่องมือวิเคราะห์ อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
กราฟิก: ณัฐชนน พูนชัย (Boom)