DCG ภัยพิบัติสุดท้ายของโลกคริปโทฯ ก่อนตลาดกลับตัวเป็นขาขึ้น !?
นับตั้งแต่ปี 2021 จนถึงปี 2023 เรียกได้ว่าเราเผชิญกับวิกฤตินานับประการบนโลกคริปโทที่ถาโถมมาไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ LUNA Crash, 3AC ที่ประสานกันถล่มตลาดอย่างกระทันหันในปี 2021 ทำเอาตลาดงุนงง และสับสนกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ไต่มาอยู่ในโซนที่ดูเหมือนจะกลับตัว
แต่เรื่องยังไม่ทันจะจบ การล่มสลายของ FTX ก็กระหน่ำซ้ำตลาดเข้าไปอีกในปี 2022 เล่นเอากูรูคริปโทหลายคนที่มองราคาตลาดผ่านการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือแม้แต่การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน ประเมินราคากันไม่ถูกเลยทีเดียว
ประกอบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่หลายคนต่างตื่นตัวกับการขึ้นดอกเบี้ย และ Q.T. จนเกรงว่าจะเกิดปัญหาใหญ่อย่างภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จนเป็นข่าวใหญ่โตรับรู้กันไปทั่ว แต่ก็ดูเหมือนจะคลี่คลายลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ประกาศ ณ ปัจจุบัน ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แต่ยังไม่ทันจะหายใจได้เต็มปอด เราก็ต้องมานั่งกังวลกับภัยที่ซ่อนเร้นจากการสูญเสียของ LUNA และ FTX เพราะการล่มสลายของใครก็ตาม ย่อมมีผู้สูญเสียรายใหญ่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายนั่นอยู่เสมอ หนึ่งในผู้รับผลกระทบสูงสุด คือ Genesis ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่เป็นผู้นำการลงทุนในโลกคริปโทอย่าง Digital Currency Group หรือ DCG และมีบริษัทในเครือที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้อย่าง Grayscale และสำนักข่าวคริปโทชื่อดังอย่าง CoinDesk รวมอยู่ด้วย
ทำไม DCG ถึงน่ากลัวระดับภัยพิบัติ ?
ความน่ากลัวของ DCG ก็มาจากบริษัทลูกในเครือที่ต่างพากันสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน ล่าสุดโบรกเกอร์ผู้ให้บริการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Genesis ได้ยื่นล้มละลาย เพื่อเตรียมเข้าสู่การปกป้องกิจการชั่วคราวระหว่างฟื้นฟูกิจการ (Chapter 11) จากการได้รับผลกระทบเต็มสูบจากการล่มสลายของทั้ง LUNA และ FTX ที่กินเวลามาช้านาน จนทนพิษบาดแผลไม่ไหว
โดยผลกระทบที่เกิดจาก LUNA นั้นมาจากการขาย BTC ที่อนุมานว่าจะถูกนำไปใช้ในการช่วยพยุงการตรึงราคาของ UST ให้กับ Luna Foundation Guard (LFG) รวมไปถึงการปล่อยกู้ให้กับ 3AC ที่หวังจะให้รอดพ้นวิกฤติของ LUNA แต่ก็ไม่รอดทำให้สูญเงินรวมจากวิกฤติครั้งนี้หลายพันล้านเหรียญดอลลาร์ แถมยังมีส่วนร่วมกับวิกฤติที่เกิดขึ้นกับ FTX จากเหรียญ FTT และมีสินทรัพย์ที่คงค้างอยู่ในบัญชีของ FTX กว่า 175 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่มีโอกาสได้ถอนออกมา
ด้วยวิกฤติดังกล่าว ทำให้ที่ผ่านมา Genesis ต้องประคองธุรกิจของตัวเองให้อยู่รอดได้นานที่สุด รวมถึงพยายามหาเงินมาเสริมจากการสูญเสียนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานกว่า 30 เปอร์เซ็น และตระเวนระดมทุนอย่างน้อย 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์ เพื่อใช้ในการประคองธุรกิจ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
โดยเรื่องนี้เพิ่งจะมาแดงขึ้นเมื่อต้นเดือนมกราคม จากพี่น้อง Winklevoss แห่ง Exchange ชื่อดังอย่าง Gemini ที่มีเงินลูกค้าตัวเองอยู่กับ Genesis หลายร้อยล้านเหรียญดอลลาร์ ที่ได้ทวีตจดหมายเปิดผนึกลงบน Twitter ส่วนตัว แถมยังอ้างอิงไปถึงบริษัทแม่อย่าง DCG ด้วย งานนี้ทำเอาฝั่ง DCG ต้องรีบตอบโต้กลับสองพี่น้องฝาแฝดในเวลาถัดมา แต่ก็ยังไม่มีบทสรุปที่ลงตัวออกมาว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร จน Winklevoss ตั้งกำหนดวันที่ 8 มกราคม ให้มานั่งคุยหาทางออกร่วมกัน แต่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ
การประกาศล้มละลายของ Genesis ไม่ได้หมายความว่าหนี้ที่มีอยู่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว แต่เป็นการเว้นช่วงให้สามารถหาเงินมาคืนได้โดยที่ไม่มีเจ้าหนี้มาคอยติดตาม รวมถึงยึดทรัพย์สินที่มีอยู่ของบริษัทไประยะหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายหากไม่สามารถหามาคืนได้ตามระยะเวลา ผู้รับผิดชอบหลักก็ยังคงต้องเป็น DCG ซึ่งคงหนีไม่พ้นการประกาศขายสินทรัพย์ดิจิทัลให้พอกับจำนวนที่เป็นหนี้อยู่โดยสินทรัพย์ดิจิทัลที่ว่าอาจจะมาจากหน่วยลงทุน GBTC และ ETHE ของ Grayscale รวมไปถึงคริปโทฯ อื่น ๆ ในมือจากการลงทุนด้วยตัวเอง ซึ่งการเทขายดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อราคาตลาดในเชิงจิตวิทยามหาศาล
แม้หน้าไพ่ในตอนนี้ที่ทางบริษัทลูกอย่าง Genesis ที่เผยออกมาอย่างมีนัยยะจนเกิดเป็นข่าวอย่างที่เห็น คาดการณ์ได้ว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดนั้น อาจจะรุนแรงกว่าความเป็นจริง จากพฤติกรรมของรายย่อย และรายใหญ่ผสมปนเปกัน เมื่อภัยพิบัตินี้จบ หลายคนคงคาดหวังจุดที่เป็นขาขึ้นรอบใหม่ จากโดมิโน่ที่มีต่อตลาดมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดมายาวนาน
แต่เราก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า การจะดันราคาไปยังจุดสูงสุดใหม่ หรือจุดสูงสุดเดิมที่เคยเป็น ต้องใช้จำนวนเงินมหาศาลในระดับเดียวกับที่เคยเกิดจุดสูงสุดที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะต้องใช้มากกว่าด้วย เพราะขาขึ้นของ BTC นั้นเป็นผลจากการทำ Q.E. มาโดยตลอด และการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน หรือพวกเงินใหญ่อย่างต่อเนื่อง หากความเชื่อมั่นยังหดหาย ก็จะต้องรอเวลาให้เกิดการเข้ามาของเงินใหญ่ชุดใหม่เข้ามา โดยเราไม่อาจรู้ได้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยในอีกหลายปี เรามีหน้าที่คอยจับตาดู และบริหารความเสี่ยงให้พร้อมเท่านั้น
บทความโดย บีม ชานน จรัสสุทธิกุล
ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO ของ Forward - Decentralized Derivatives Platform และ Forward Labs - Blockchain Technology Labs
กราฟิก: ณัฐชนน พูนชัย (Boom)